วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

การสร้างบล็อค


จากนั้นคลิ๊กที่ 'สร้างบล็อคของคุณทันที' (แถบลูกศรสีส้มๆ)

จากนั้นก็ได้หน้า ' การสร้างบัญชี Google'
กรอกรายละเอียด ให้ครบทุกอย่าง จากนั้นคลิ๊กที่แถบลูกศรสีส้ม
ที่เขียนว่า 'ดำเนินการต่อ'

จากนั้นก็จะได้หน้า 'ตั้งชื่อเว็บบล็อคของคุณ'
ใส่ชื่อเว็บบล็อคที่คุณต้องการ จากนั้นตรวจสอบชื่อว่าชื่อนี้
สามารถใช้ได้หรือไม่โดยการคลิ๊กที่ 'ตรวจสอบความพร้อมการใช้งาน'
ถ้าชื้อที่คุณกรอกใช้ได้ก็จะขึ้นตัวหนังสือสีเขียว แต่ถ้าหากใช้ไม่ได้ก็จะขึ้นตัวหนังสือสีแดง
หากใช้ได้แล้วให้กดที่ 'ดำเนินการต่อ'


ก็จะได้หน้า 'เลือกแม่แบบ' หรือเรียกง่ายๆ
ก็คือการเลือกรูปแบบของบล็อคของคุณ เลือกแบบสีที่คุณชอบ
จากนั้นกดแถบลูกศรสีส้มที่เขียนว่า 'ดำเนินการต่อ'


เพียงเท่านี้คุณก็จะมีบล็อค หรือไดอารี่ออนไลน์ไว้เขียนบรรทึกเรื่องราวต่างๆ
และถ้าหากว่าคุณต้องการเขียนบทความเลย ให้คลิ๊กที่ แถบลูกศรสีส้มที่เขียนว่า
'เริ่มต้นการเขียนบล็อค' ได้เลย

เริ่มต้นการเก็บความทรงจำดีๆ กันเถอะ!!!



การเพิ่มบทความใหม่



จากนั้น log in ที่ช่อง log in ด้านบนขวา ใส่ e-mail และรหัสผ่าน



และจะได้หน้านี้เมื่อ log in เสร็จเรียบร้อย
จากนั้นคลิ๊กตรงคำว่า 'บทความใหม่' (แถบสีน้ำเงิน ที่เห็นในภาพ)


จากนั้นก็จะได้หน้าต่างและ แถบเครื่องมือแบบนี้



ใส่ชื่อเรื่องและเนื้อหาที่ต้องการจะเขียน ใส่ป้ายกำกับ
เมื่อเสร็จแล้ว กด 'เผยแพร่บทความ' (แถบสีส้มด้านล่าง)



จากนั้นก็จะได้หน้านี้ คลิ๊กดูบทที่เพิ่มใหม่ที่ 'ดูบล็อค'



จากนั้นก็จะเห็นบทความที่เราเพิ่มลงใหม่ อยู่บนน้าบล็อค

การเก็บความทรงจำดีๆ เป็นเรื่องง่ายๆ ใช่มั้ยล่ะ ^^



วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

ทัชมาฮาล อัครอนุสรณ์สถานแห่งความรัก

ทัชมาฮาล อัครอนุสรณ์สถานแห่งความรัก

ทัชมาฮาล นั้นถ้าคนที่ไม่รู้ประวัติมาก่อน เห็นความสวยงามแล้วคงไม่นึกว่าจะเป็นสุสานหินอ่อน ที่ผู้คนทั้งหลายยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในสวนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ในเมืองอัครา ประเทศอินเดีย นับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ในการโหวตล่าสุดจากชาวเน็ททั่วโลก และก็ติดอันดับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นยุคใดๆก็ตาม และเมื่อเร็วๆนี้อินเดีย ก็เพิ่งได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 350 ปีของทัชมาฮาล ซึ่งเป็นเสมือนสมบัติอันล้ำค่าของคนอินเดีย ดังนั้น ทางการจึงเข้มงวดกวดขันกับการดูแลรักษาทัชมาฮาลมาก เนื่องจากสภาวะมลพิษต่างๆได้ส่งผลเสียหายต่อผิวหินอ่อนของทัชมาฮาลมาก ทั้งฝุ่นควัน และฝนกรดที่เกิดจากระบบอุตสาหกรรม ทางการต้องใช้เงินจำนวนมาก ในการบูรณะรักษาให้อยู่ในสภาพเดิมไว้ จึงไม่อนุญาตให้ขบวนยานพาหนะที่เต็มไปด้วยมลพิษและโรงงานอุตสาหกรรมเข้าใกล้ทัชมาฮาล เขาได้จัดที่จอดรถไว้ห่างประมาณหนึ่งกิโลเมตร และต้องเช่ารถม้า หรือรถไฟฟ้าคันเล็กๆเข้าไปกันเอง

ทัชมาฮาล (ตาช มฮัล) มีรากศัพท์เดิมมาจากภาษาอาหรับ ตาจญ์ (มงกุฎ) และ มะฮัล (สถาน) เป็นอนุสรณ์สถาน สร้างขึ้นโดยกษัตริย์อินเดีย ผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์ คือเจ้าชายขุร์รัม ชึ่งต่อมาได้เป็นจักรพรรดิชาห์ จาฮาน จักรพรรดิมุสลิมองค์ที่ห้าแห่งราชวงศ์โมกุล ทรงพระราชสมภพในปี พ.ศ. 2135 พระบิดา คือ จักรพรรดิ ชาห์ ชฮานชีร์

ตามตำนานกล่าวว่า เจ้าชายขุร์รัม ได้พบกับ อรชุมันท์ พานุ เพคุม ธิดาของรัฐมนตรี เชื้อสายเปอร์เซีย เมื่อพระองค์ มีพระชนมายุเพียง 14 พรรษา พระองค์ทรงหลงใหลและหลงรักสาวงามนางนี้ เจ้าชายขุร์รัมจึงซื้อเพชรด้วยเงิน 10,000 รูปี และบอกแก่พระบิดาของพระองค์ว่าพระองค์มีความประสงค์ที่จะแต่งงานกับบุตรสาวของรัฐมนตรี แต่พิธีอภิเษกก็ถูกจัดขึ้นหลังจากนั้น 5 ปี ในปี พ.ศ. 2155 และตั้งแต่นั้นมา ทั้งสองก็มิเคยอยู่ห่างกันอีกเลย


ประตูด้านนอก


ทางเดินและแนวกำแพงก่อนถึงประตูชั้นใน


เมื่อมองผ่านแนวประตูชั้นใน ก็จะพบภาพแรกของทัชมาฮาล ตั้งตระหง่านอยู่


ซุ้มประตูใหญ่ชั้นใน ที่สร้างได้อย่างอลังการ ไม่น้อยหน้าอาคารหลัก

หลังจากที่พระเจ้าชาห์ จาฮาน ขึ้นครองราชบัลลังก์ในปี พ.ศ. 2171 พระองค์มอบความไว้วางใจแก่ อรชุมันท์ พานุ เพคุม และเรียกนางว่า มุมตัซ มาฮาล หรือ "อัญมณีแห่งราชวัง" ซึ่งได้ติดตามพระองค์ไปทุกหนแห่ง แม้แต่ในสนามรบ ทั้งได้แนะนำพระองค์ในเรื่องราชการของประเทศ จนพระองค์ซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระมเหสียิ่งนัก วาระสุดท้ายที่มุมตัช มาฮาล มเหสีสุดที่รักของกษัตริย์ ชาน์ จาฮานจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับนั้น กษัตริย์ชาห์จาฮาน ยกทัพไปปราบกบฏข่านชะหานโลดีที่เดกคานโดยมีมุมตัช มาฮาล ติดตามไปให้กำลังใจสามีด้วยทั้งๆที่เธอตั้งท้องแก่ เมื่อกษัตริย์ชาห์จาฮาน ปราบกบฏราบคาบแล้ว ก็กลับเมืองมุระหันปุระ มุมตัช มาฮาลเจ็บท้องคลอดลูกแต่พอเธอคลอดแล้วเธอตกเลือดมาก อยู่เพียงชั่วโมงเดียวก็สิ้นใจในอ้อมกอดของกษัตริย์ชาห์จาฮาน ก่อนที่มุมตัช มาฮาล จะสิ้นใจ เธอได้ขอร้องสามี 2 ข้อด้วยกัน คืออย่าให้กษัตริย์ชาห์จาฮาน มีภรรยาใหม่ และขอให้กษัตริย์ชาห์จาฮาน สร้างอนุสาวรีย์ที่ฝังศพของเธอให้งดงาม เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกให้ได้ กษัตริย์ชาห์จาฮานรับปากที่จะปฏิบัติตามทุกอย่าง เยี่ยงสามีที่รักภรรยาอย่างสุดชีวิต ในครั้งแรกศพของ มุมตัช มาฮาล ฝังไว้ที่เมืองมุระหันปุระ เพื่อเตรียมเคลื่อนย้ายไปสู่นครอัครา จนกระทั่งต่อมาอีก 6 เดือนกษัตริย์ชาห์จาฮานได้สั่งให้เคลื่อนย้ายศพของเธอไปบรรจุไว้ที่หลุมฝังศพในสวนราชาขัยสิงห์ แห่งนครอัครา โดยสร้างศาลาชั่วคราวไว้เหนือหลุมศพ ในวันเคลื่อนศพมุมตัช มาฮาล มายังนครอัครานี้ ได้มีริ้วขบวนเกียรติยศยิ่งใหญ่มาก เจ้าชายสุชาโอรสองค์ที่สองของกษัตริย์ชาห์จาฮาน นำขบวนประยูรญาติเดินตามพระศพ มีการโปรยทานตลอดทาง


เดินจากซุ้มประตูชั้นใน ก็จะถึงแท่นยกพื้นใหญ่ เป็นจุดที่จะมองทัชมาฮาลได้อย่างเต็มตา



ถ้าหันหลังกลับก็จะเห็นซุ้มประตูที่ผ่านเข้ามา


นับแต่มุมตัช มาฮาลสิ้นชีวิต กษัตริย์ชาห์จาฮาน ก็หมกมุ่นจมปลักอยู่ในความทุกข์ตลอดเวลา มิได้ยิ้ม มิได้หัวเราะ โดยเฉพาะมิได้สนใจต่อร่างกายตนเอง ปล่อยเนื้อปล่อยตัว จนผมดำกลายเป็นผมขาวทั้งศีรษะ ทุกวันกษัตริย์ชาน์จาฮานนุ่งขาวห่มขาว ไปนั่งรำพันถึงมุมตัช มาฮาล ข้างหลุมศพ บางครั้งกอดหลุมศพรำพันอย่างเสียสติ กษัตริย์ชาห์จาฮาน ได้โปรดนำเงินหนึ่งแสนรูปีออกทำบุญแผ่กุศลแก่มุมตัช มาฮาล หลังจากที่เธอจากไปเป็นเวลา 3 ปี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1631 กษัตริย์ชาห์จาฮาน โปรดให้สร้างอนุสาวรีย์ใหญ่ เป็นที่ฝั่งศพของมุมตัช มาฮาล โดยเลือกบริเวณฝั่งขวาแม่น้ำยมนา ตอนโค้งที่สวยงามและเหมาะที่สุด โดยที่นี่เดิมเป็นสวนของขุนนางผู้ใหญ่หลายท่าน มีเนื้อที่ 125 ไร่ ครั้งแรกกษัตริย์ชาห์จาฮาน ให้ทำรูปจำลองก่อนด้วยไม้ เมื่อรูปจำลองพอใจแล้ว จึงมีการลงมือสร้างด้วยหินอ่อนขาวชนิดเยี่ยมทั้งสิ้น สถาปนิกที่ออกแบบก่อสร้างอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ กษัตริย์ชาห์จาฮานได้เชิญสถาปนิกเอกทั่วอินเดีย เตอร์กี และเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาเป็นทีมงานสถาปนิกและวิศวกร โดยมีสถาปนิกใหญ่ ผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยม (และโชคร้ายที่สุด) ซึ่งกษัตริย์ชาน์จาฮานคัดเลือกคือ อุสตาด ไอซา เป็นผู้ออกแบบ และมุหะมัด อิซเอฟันดี ชาวเตอรกี เป็นสถาปนิก มุหะมันชารีฟแห่งแคว้นซามาระกันต์ เป็นผู้ช่วย ทั้งสองได้รับเงินเดือนๆละ 1 พันรูปี มุหะมัด ฮานนีฟ แห่งอัครา เป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายวิศวกร อิสไมล์ข่าน แห่งเตอร์กี เป็นผู้สร้างโดม มโนสิงห์ แห่งละโฮว์ มันสิฑาร์ แห่งมุลตาล โหหันลาล แห่งกาเนาร์ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายตกแต่ง อมานข่าน แห่งเปอร์เซีย และมุหะมัดข่าน แห่งแบกแดด เป็นผู้ประดิษฐ์อักษรจารึก ซาดสมานิ ข่าน แห่งอาหรับเป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลปะทั่วไป อมตามูหะมัก แห่งมอสควา เป็นนายช่างแกะสลัก อับดุลสะ แห่งเมืองเดลี มุหะมัด สัจจะ แห่งเมืองบอล์ซ และสกุลลา แห่งเมืองมุลตาน เป็นช่างก่ออิฐ พลเทพพาส อมีร์อาลีราษันข่าน แห่งมุลตาน เป็นผู้สลักดอกไม้ อับดุล การิบ และมาการะมัดข่าน เป็นผู้สร้างที่ฝั่งศพ มุฮัมมัดอิชา ออกแบบอนุสาวรีย์ โดยอาศัยเค้าโครงจากที่ฝังศพของหูมายูนที่เมืองนิวเดลี เห็นรายชื่อทีมงานเหล่านี้แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่สิ่งก่อสร้างเลื่องชื่อนี้จะสวยงามแบบไม่มีใครเปรียบ และราชสมบัติส่วนใหญ่ของกษัตริย์ชาห์จาฮาน ก็ได้ทุ่มเทไปเพื่อการสร้างอนุสรณ์แห่งความรักของทั้งสองพระองค์แห่งนี้ ในสมัยนั้นพระองค์ใช้ทรัพย์ไปมากมาย แต่หลายแหล่งระบุไม่ตรงกัน เลยไม่รู้จะเชื่อใครดี เอาเป็นว่า มากมายมหาศาลก็แล้วกันครับ


รายละเอียดลวดลายประดับหินมีค่าและอัญมณี


อาคารเป็นแบบจตุรมุข เหมือนกันทั้ง 4 ด้าน

ส่วนยอดหอคอย



รายละเอียดของโดมทรงหัวหอม

ทัชมาฮาล ออกแบบสร้างขึ้นด้วยสัดส่วนที่วิจิตรและงดงามที่สุดในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบมุสลิม มีส่วนยอดของทัชมาฮาล เป็นโดมที่เรียกว่าโอเนียนโดม (หรือทรงหัวหอม) เป็นเอกลักษณ์ มีขนาด กว้างยาวด้านละ 100 เมตร สูง 60 เมตร ออกแบบโดยนายช่างชาวอิหร่าน ชื่อ อุสตาด ไอซา ที่อุตส่าห์ทุ่มเททำงานอย่างสุดฝีมือ แต่สุดท้ายกลับถูกประหารชีวิตเพื่อมิให้ไปออกแบบสถาปัตยกรรมใดๆ ที่สวยกว่าได้ ช่างเป็นรางวัลที่ห่วยที่สุดในโลกทีเดียว (ขอไว้อาลัยในฐานะสถาปนิกร่วมโลกรุ่นเหลน) มีแรงงานก่อสร้างร่วม 20,000 คน ทุกฝ่ายทุ่มเทสุดความสามารถ และทุ่มเทชีวิต สร้างอนุสาวรีย์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพื่อถวายความจงรักภักดีต่อมุมตัช มาฮาล ผู้เคยให้ความเมตตากรุณาต่อพวกเขาอย่างยิ่ง ในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งประณีตวิจิตรบรรจงเท่าใด ก็เป็นการถวายความจงรักภักดีมากเท่านั้น


มุมมองจากฝั่งแม่น้ำ


โค้งน้ำยมุนาด้านหลัง

วัสดุก่อสร้างชั้นดี ถูกคัดเลือกมาจากแหล่งต่างๆ เช่นหินอ่อนได้จากเมืองชัยปุระ ศิลาแลงจากฟาเตปุรริขรี พลอยสีฟ้าจากธิเบต พลอยสีเขียวจากอียิปต์ หินสีฟ้า และโมราจากคัมภัย เพชรจากเมืองฟันนา หินทองแดงจากรัสเซีย และหินทรายจากแบกแดด ต้องใช้ช้างถึง 1000 เชือก ในการขนวัสดุก่อสร้างทั้งหมด การก่อสร้างกินเวลานานถึง 22 ปี จึงแล้วเสร็จ จึงไม่น่าแปลกใจกับกับคำจำกัดความของการก่อสร้างที่นี่ว่า "having been designed by giants and finished by jewellers" แต่ความงามของทัชมาฮาล ไม่ได้จบลงแค่นั้น ด้วยที่ตั้งและสภาพแวดล้อม ยังก่อเกิดความงามจากแสงสว่างที่ตกกระทบและสะท้อนสู่ตัวหินอ่อนอีกด้วย แสงสีนี้จะเปลี่ยนไปตามวัน เวลา และฤดูกาล เช่นแสงแดดตอนเช้า จะสะท้อนสีชมพูอ่อน ตอนบ่ายจะเป็นสีขาวขุ่น และตกกลางคืน แสงจันทร์จะส่องเป็นประกายสีทอง


ลวดลายอันวิจิตรพิสดารภายใน

ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดในทัชมาฮาลนี้ คือ หลุมศพของพระนางมุมตัซ มาฮาล ซึ่งถูกสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร พลอย หิน โมราและเครื่องประดับจากมิตรประเทศ อยู่ตรงกลางภายใต้หลังคาโดมใหญ่ มีแท่นวางหีบศพที่ทำด้วยหินอ่อน และมีฉากหินอ่อนฉลุลายงามเป็นพิเศษกั้นอีกชั้นหนึ่ง แต่พระศพจริงๆ หาได้บรรจุอยู่ในหีบศพนั้นไม่เป็นแค่หีบจำลอง แต่หีบจริงนั้นกลับฝังอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินตรงบริเวณนั้นแทน ภายในทัชมาฮาลนี้ เขาจะห้ามถ่ายภาพเด็ดขาด ก็คงเหมือนกับระเบียบการทั่วไปของการเข้าชมพิพิธภัณฑ์หรือพระราชวังใหญ่ๆหลายแห่งนั่นเอง


ฉากหินอ่อนฉลุลายงามเป็นพิเศษ ที่กั้นอีกชั้นหนึ่ง



แท่นพระศพของของกษัตริย์ ชาห์จาฮาน และ มุมตัช มาฮาล

ในปี พ.ศ. 2200 พระเจ้าชาห์ จาฮานทรงพระประชวร และในปี พ.ศ. 2201 พระโอรส โอรังเซบ จับพระเจ้าชาห์ จาฮานขัง และขึ้นครองราชบัลลังก์เเทน พระองค์ถูกกักขังอยู่ถึง 8 ปี จนกระทั่งสวรรคตในปี พ.ศ. 2209 หีบศพของมุมตัช มาฮาล ถูกเคลื่อนย้ายมาประดิษฐานอยู่ในห้องใต้ดินบริเวณโดม ของโดมมโนสิงห์ หีบศพของมุมตัช มาฮาล และของกษัตริย์ชาห์จาฮาน ประดิษฐานอยู่นั้นเป็นหีบศพจำลอง กษัตริย์ชาห์จาฮาน เฝ้าระทมเพราะการจากไปของมุมตัช มาฮาล มเหสีสุดที่รักอยู่เป็นเวลาถึง 36 ปี ก็พอดีเกิดศึกกลางเมือง มีการแย่งชิงราชบัลลังก์ขึ้นระหว่างพระโอรสของกษัตริย์ชาห์จาฮานเอง กษัตริย์ชาห์จาฮานถูกจับไปขังไว้ที่ป้อมใหม่เมืองอัครา โอรังเซบ โอรสของกษัตริย์ชาห์จาฮานขึ้นครองบัลลังก์แทน กษัตริย์ชาห์จาฮานจึงได้สวรรคตที่ป้อมแห่งนี้ ตามตำนานกล่าวว่าให้วันสุดท้ายของชีวิตพระองค์ใช้เวลาทั้งวันในการจ้องมองเศษกระจกที่สะท้อนภาพของทัชมาฮาล และสิ้นพระชนม์ด้วยเศษกระจกในกำมือ โอวังเซบ ราชโอรส จึงได้นำพระศพของพระบิดามาประดิษฐานไว้เคียงข้างพระศพของมุมตัช มาฮาล มเหสี ซึ่งพระองค์ไม่เคยลืม มีบางคนกล่าวว่าพระเจ้าชาห์ จาฮาน มิได้ประสงค์ที่จะถูกฝังร่วมกับพระมเหสี แต่พระองค์มีแผนการที่จะสร้างสุสานอีกแห่งด้วยหินอ่อนสีดำ เพื่อเป็นสุสานของพระองค์ แต่ผู้รู้หลายท่านเชื่อว่าพระองค์ประสงค์ที่จะถูกฝังเคียงข้างพระนางมุมตัซ มาฮาล

การเข้าเยี่ยมชมทัชมาฮาลนั้น ต้องซื้อตั๋วประมาณเจ็ดร้อยรูปีต่อคน และควรเลือกวันธรรมดาที่จะมีผู้เข้าชมประมาณ 10,000 คน เพราะยิ่งในวันหยุดแล้ว จะมีคนไม่ต่ำกว่า 40,000 คนทีเดียว จะเป็นอุปสรรคต่อการถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง และด้วยความที่อินเดียเป็นเมืองร้อน จึงควรเลือกไปเที่ยวช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน อากาศจะแจ่มใสและเย็นสบาย

ท่านสามารถดาวน์โหลดข้อมูลในรูปแบบ Microsoft Word ได้ที่นี่ http://www.4shared.com/file/101962950/15091cce/__online.html

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

เตือนใจ... เมื่อใช้ยา



ในชีวิตประจำวันเมื่อเราเจ็บไข้ได้ป่วยเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถหายาทานเอง หรือกรณีที่ยังไม่สามารถไปพบแพทย์ได้ เราจำเป็นต้องพึ่งยาที่มีติดบ้านไว้ประจำ เพื่อรักษา หรือบรรเทาอาการก่อนไปพบแพทย์ ยาพื้นฐานที่ทุกครอบครัวมักมีไว้ติดบ้านประจำเผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เช่น พาราเซตามอล คลอร์เฟนิรามีน ยาแก้ไอน้ำดำ เป็นต้น

ท่านทราบข้อบ่งใช้ วิธีใช้ และข้อควรระวังของยาเหล่านี้หรือไม่ และยาเหล่านี้บางตัวแม้ว่าจะมีประโยชน์อย่างมากและมีความปลอดภัยสูง แต่หากใช้ไม่ถูกต้อง ก็อาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้เช่นกัน

พาราเซตามอล เป็นยาลดไข้แก้ปวดที่ใช้แพร่หลายกันมากที่สุด ใช้ลดไข้และแก้ปวด เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดประจำเดือน เป็นต้น ยาตัวนี้ถือว่ามีความปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารเหมือนแอสไพริน ยาชนิดนี้มีขายอยู่ในท้องตลาดทั้งชนิดเม็ดสำหรับผู้ใหญ่ และชนิดน้ำเชื่อมสำหรับเด็ก ในผู้ใหญ่แนะนำให้ใช้ยาพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม 1 – 2 เม็ด ทุก ๆ 4 – 6 ชั่วโมง แต่ไม่ความกินยาเกิน 8 เม็ดต่อวัน

สำหรับเด็ก เนื่องจากยาที่มีจำหน่ายมีหลายขนาดตามอายุ จึงควรใช้ยาตามขนาดที่แจ้งอยู่ในฉลากยา แต่ทั้งนี้ ขนาดที่แนะนำใช้ในเด็กจะเป็น 10 – 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัวเด็ก 1 กิโลกรัม แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่แน่ใจในขนาดยาที่ใช้ หรือเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี ก็ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา และหากใช้ยานี้แล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือไข้ไม่ลดก็ควรพบแพทย์

ข้อควรระวัง : ถ้าใช้ยาเกินขนาดมากๆ เช่น 20 เม็ด ก็จะเป็นพิษต่อตับ หรือตับวาย ถึงตายได้เช่นกัน

นอนอย่างไรให้หลับสนิท

การได้นอนหลับสนิทถือเป็นการพัก ผ่อนที่ดีที่สุด หลังจากใช้ชีวิตหัวหกก้นขวิดมาทั้งวัน ในขณะที่บางคนเหนื่อยก็จริงแต่นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาฝืนให้หลับอยู่นั่นแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ขอบอกไว้ก่อนว่าอย่าไปบังคับตัวเอง ให้ต้องนอนเลย มาเริ่มจัดชีวิตปรับเปลี่ยนนิสัยกันเสียใหม่ จะเข้าทีกว่า มูลนิธิเกี่ยวกับการนอนในสหรัฐอเมริกา ให้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่ช่วยให้นอนหลับสบายเอาไว้หลายข้อค่ะ ลองดูตามข้างล่างนี้เลย

ควรเข้านอนให้ตรงเวลาเดียวกันทุกคืน และตื่นขึ้นตามเวลาเดียวกันทุกเช้าจนเป็นนิสัย ไม่เว้นแม้ในวันหยุดสุดสัปดาห์

ก่อนเข้านอนควรทำตัวให้ผ่อนคลาย อาบน้ำ/นอนแช่น้ำอุ่น อ่านหนังสือ หรือฟังเพลงเบาๆ

ภายในห้องควรจะสร้างบรรยากาศในการนอนให้เงียบสงบ เย็นสบาย และไม่มีแสงรบกวน สำหรับที่นอนก็ต้องเลือกที่รองรับตัวได้อยู่ในสภาพดี อันไหนเก่าไป ใช้มา 10 ปีแล้วก็ต้องคัดทิ้ง

ควรออกกำลังกายเป็นประจำ และทิ้งช่วงก่อนเข้านอนสัก 3 ชั่วโมง จำไว้เลยว่าต้อง หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วงเย็นและหัวค่ำ หากเป็นคนนอนหลับยาก เครื่องดื่มคาเฟอีนนอกจากกาแฟแล้วยังมี ชา โคลา ช็อกโกแลตอีกด้วย ข้อนี้ก็สำคัญสำหรับคอยาสูบทั้งหลาย เขาบอกว่านิโคตินในยาสูบจัดเป็นสารกระตุ้น ดังนั้น

ไม่ควรสูบบุหรี่ก่อนเข้านอน เพราะจะทำให้การนอนหลับไม่มีคุณภาพ ใครมีปัญหานอนหลับยากแนะนำว่าให้ลองเลิกสูบบุหรี่ดู และสุดท้าย

ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน เพราะมันจะเข้าไปขัดขวางการนอนหลับ ทำ ให้ลุกตื่นขึ้นมากลางดึกและนั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ

ดูแล้วไม่น่าจะยาก ถ้าอยากนอนหลับให้สนิทลองเริ่มปรับเปลี่ยนนิสัยกันตั้งแต่ วันนี้เลย

โรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้คืออะไร

โรคภูมิแพ้ คือโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งในคนปกติไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ มีปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อ ฝุ่น ตัวไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ เป็นต้น สารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกินนี้เรียกว่า 'สารก่อภูมิแพ้' โรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้ตามอวัยวะที่เกิดโรคได้เป็น 4 โรคคือ
+++โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคแพ้อากาศ
+++โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้
+++โรคหอบหืด
+++โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ อาจมีอาการในอวัยวะเดียว หรือหลายอวัยวะร่วมกันก็ได้

โรคภูมิแพ้ จัด เป็นโรคที่พบบ่อยโรคหนึ่งในประเทศไทย จากการศึกษาอัตราความชุกของโรคในประเทศไทย มีอัตราความชุกอยู่ระหว่าง 15-45 % โดยประมาณ โดยพบโรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มีอัตราชุกสูงสุดในกลุ่มโรคภูมิแพ้ นั่นหมายความว่า ประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ มีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้อยู่

ทำไมฉันถึงเป็นโรคภูมิแพ้..?

โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
โรคภูมิแพ้สามารถ ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ คือถ่ายทอดจากพ่อและแม่ มาสู่ลูก เหมือนภาวะอื่นๆ เช่น หัวล้าน ความสูง สีของตา เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าพ่อแม่ของคุณเป็นโรคภูมิแพ้ คุณอาจจะไม่มีอาการใดๆเลยก็ได้

โดยปกติ ถ้าพ่อหรือแม่ คนใดคนหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณ 25 % แต่ถ้าทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ทั้งคู่ ลูกที่เกิดออกมามีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึง 66 % โดยเฉพาะ โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ จะมีอัตราการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์สูงที่สุด

มีปัจจัยอื่นอีกหรือไม่ที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้..??

ถ้าคุณ ได้รับการถ่ายทอดโรคภูมิแพ้ทางกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ของคุณ แต่ไม่เคยสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ คุณก็จะไม่มีอาการของโรคภูมิแพ้ คุณจะต้องได้รับสารก่อภูมิแพ้ ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกินในร่างกายของคุณ การได้รับสารก่อภูมิแพ้ จะต้องได้รับปริมาณมากพอ และนานพอ ที่จะกระตุ้นให้ร่างกายคุณเกิดปฏิกิริยาดังกล่าว จึงทำให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ขึ้น อาการของคุณจะเป็นมากขึ้น เมื่อภูมิต้านทานลดต่ำลง เช่นในขณะที่คุณเข้าสู่วัยรุ่น การติดเชื้อในบริเวณต่างๆ การตั้งครรภ์ เป็นต้น

โรคภูมิแพ้หายขาดได้หรือไม่ ?

เป็นคำถามของผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ทุกคน ต้องการคำตอบมากที่สุด
โรคภูมิแพ้ อาจหายไปได้เอง โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ส่วนใหญ่มักไม่หายขาด โดยอาการของโรคภูมิแพ้อาจสงบลงไปช่วงหนึ่ง และมักจะกลับมาเป็นใหม่

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

All About Japan

ประเทศญี่ปุ่น

http://www.tpa.or.th/jsociety/Bpic/ContentImg1150.jpg


ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น
พื้นที่ทั้งหมด ประมาณ 378,000 ตารางกิโลเมตร รวมทั้งหมู่เกาะต่าง ๆ กว่า 6800 เกาะ
ประชากร มี 127 ล้านคน
เมืองหลวง คือ โตเกียว มีประชากร 12 ล้านคน
ภาษาประจำชาติ คือ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่มีสอนในโรงเรียนตั้งแต่ระดับ 7 ขึ้นไป
ศาสนา ชินโตและพุทธ เป็น 2 ศาสนาหลัก
ภูมิอากาศ โดยทั่ว ๆ ไป อากาศอบอุ่น แต่เนื่องจากพื้นที่ของประเทศแผ่ออกไปตามความยาวถึง 3,000 กิโลเมตรจากเหนือจรดใต้ดังนั้นจึงย่อมจะมีความแตกต่าง ของภูมิอากาศไป บ้างในบางท้องถิ่นตลอดหนึ่งขวบปี ภาคเหนือสุดอากาศค่อนไปทาง หนาวจัด ทาง ใต้สุดค่อนไปทางใกล้เขตร้อน ปริมาณฝนมากที่สุดในแทบทุกภาค อยู่ในช่วงฤดูฝน ราวกลางเดือนถุนายนถึงกลาง เดือนกรกฏาคม

ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ตั้งอยู่ด้านฝั่งตะวันออกของทวีปเอเชีย หรือทางตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก หมู่เกาะญี่ปุ่นทอดตัวเป็นรูปโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว จากทางตอนเหนือที่ละติจูด 45 องศา 33 ลิปดาเหนือ มาทางใต้ ที่ละติจูด 20 องศา 25 ลิปดาเหนือ โดยมีความยาวทั้งสิ้น 3,800 กม.

ลักษณะภูมิประเทศ เป็นประเทศหมู่เกาะ ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยประมาณ 3,900 เกาะ โดยมีเกาะใหญ่ที่สำคัญ 4 เกาะ คือ

1) ฮอกไกโด (83,517 ตารางกม.)
2) ฮอนชู (231,012 ตารางกม.)
3) ชิโกกุ (18,800 ตารางกม.)
4) กิวชู (44,379 ตารางกม.)

ลักษณะ ภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นภูเขา โดยร้อยละ 71 ของพื้นที่ทั้งหมดของญี่ปุ่นเป็นภูเขา ในขณะที่มีพื้นที่ราบเพียงร้อยละ 25 ซึ่งใช้เป็นพื้นที่ทางการเกษตรได้เพียงร้อยละ11 เท่านั้น ญี่ปุ่นมีภูเขาไฟมากประมาณ 1 ใน 10 ของทั้งโลก โดยมีภูเขาฟูจิเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศ (3,776 เมตร) และเป็นภูเขาไฟที่สงบอยู่แต่ยังไม่ดับ และจากการที่ญี่ปุ่นอยู่ในเขตที่มีภูเขาไฟมาก ทำให้มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นเสมอ

พื้นที่ ประมาณ 377,835 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยผืนดิน 374,744 ตารางกิโลเมตร และผืนน้ำ 3,091 ตารางกิโลเมตร

พื้นที่ชายฝั่งทะเล 29,751 กิโลเมตร

ประชากร ประมาณ 126.97 ล้านคน (พฤษภาคม 2545) อัตราการเติบโตของประชากร คือ ร้อยละ 0.15 (2545) ซึ่งนับเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ของโลก ความหนาแน่นของประชากรประมาณ 336 คน/ตร.กม.

เชื้อชาติ เชื้อชาติญี่ปุ่น ในทางประวัติศาสตร์เชื่อกันโดยทั่วไปว่าบรรพบุรุษของชาวญี่ปุ่นได้แก่กลุ่ม เผ่าพันธุ์หนึ่งที่เรียกในปัจจุบันว่า เผ่าพันธุ์ยามาโตะ ผสมกับคนที่อพยพมาจากแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ จีนและเกาหลี ปัจจุบันคนต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่อยู่ในญี่ปุ่น ได้แก่ ชาวเกาหลีและชาวจีน รวมทั้งเผ่าไอนุ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นไม่ถือว่าประเทศของตนมีชนกลุ่มน้อย

ศาสนา ศาสนาใหญ่ ๆ มี 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธ และศาสนาชินโต นอกจากนั้นได้แก่ ศาสนาคริสต์และลัทธิขงจื้อ

ภาษา ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาราชการ

การศึกษา ภาคบังคับ 9 ปี

อัตราการรู้หนังสือ ร้อยละ 99.9

วันชาติ วันที่ 23 ธันวาคม: วันพระราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ (พ.ศ. 2476 หรือ ค.ศ. 1933)

เมืองหลวง กรุงโตเกียว (Tokyo)

ภูมิอากาศ มี 4 ฤดูหลัก ที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ
ฤดูใบไม้ผลิ : (มีนาคม-พฤษภาคม) อากาศอบอุ่น
ฤดูร้อน : (มิถุนายน-สิงหาคม) อากาศร้อนชื้นโดยมีช่วงฤดูฝนสั้น ๆ ประมาณ 1 เดือน ในช่วงต้นฤดู
ฤดูใบไม้ร่วง : (กันยายน-พฤศจิกายน) อากาศอบอุ่น โดยมีพายุไต้ฝุ่นมากในช่วงเดือนกันยายน
ฤดู หนาว : (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) อากาศหนาว มีหิมะตกมากทางภาคเหนือของประเทศและฝั่งทะเลญี่ปุ่น ส่วนทางใต้และฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก อากาศจะอบอุ่นกว่า
คลิกที่นี่เพื่อดูพยากรณ์อากาศวันนี้และอีก 10 วัน ที่กรุงโตเกียว

การเมืองการปกครอง
รูปแบบการปกครอง ระบอบเสรีประชาธิปไตย โดยมีรัฐสภาเป็นสถาบันสูงสุดของรัฐ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล นอกจากนี้ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้มีการบัญญัติไว้ว่าสมเด็จพระ จักรพรรดิทรงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ

ประมุข สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ (His Majesty Emperor Akihito)

รัฐสภา เรียกชื่อว่า “สภาไดเอท” ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีสมาชิก 480 คน มาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี และวุฒิสภา ซึ่งมีสมาชิก 252 คน มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 6 ปี โดยเลือกตั้งจำนวนครึ่งหนึ่งสลับกันไปทุก 3 ปี คลิกที่นี่เพื่อดูรูป
- ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายโยเฮ โคโนะ (Yohei Kono)
- ประธานวุฒิสภา นายฮิโรยุกิ คุราตะ (Hiroyuki Kurata)

การปกครองท้องถิ่น ญี่ปุ่นแบ่งเขตการปกครองท้องถิ่นออกเป็น 47 จังหวัด (Prefecture) ซึ่งรวมกรุงโตเกียว (Tokyo Metropolis) ด้วย การปกครองส่วนท้องถิ่นภายในจังหวัดแยกออกเป็น นคร เมือง และหมู่บ้าน ยกเว้นกรุงโตเกียวที่มีเขตการปกครอง เฉพาะในส่วนใจกลาง 23 เขต นอกเหนือไปจากเขตชานกรุง ซึ่งประกอบด้วย 27 นคร 5 เมือง และ 8 หมู่บ้าน ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรีของนครขนาดใหญ่ ของเมืองและของหมู่บ้านตลอดจนสมาชิกสภาส่วนท้องถิ่นทุกระดับมาจากการเลือก ตั้ง

การเลือกตั้ง สภาผู้แทนราษฎรมีการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 9 พฤศจิกายน 2546 วุฒิสภามีการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อ 29 กรกฎาคม 2544 โดยจะมีการเลือกตั้งสมาชิกครึ่งหนึ่ง ในทุก 3 ปี

พรรคการเมือง พรรคการเมืองที่สำคัญ ได้แก่

- พรรคเสรีประชาธิปไตย ( Liberal Democratic Party : LDP) เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล
- พรรคนิว โคเมโต (New Komeito) เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
- พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ (New Conservative Party หรือ Hoshushinto) เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
- พรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น (Democratic Party of Japan : DPJ : Minshuto) แกนนำฝ่ายค้าน
- พรรคสังคมประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น (Social Democratic Party of Japan : SDP) เป็นพรรคฝ่ายค้าน
- พรรคคอมมิวนิสต์ (Japan Communist Party - JCP) เป็นพรรคฝ่ายค้าน

เศรษฐกิจการค้า

ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) 4,505 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2545) หรือ 540,607.9 พันล้านเยน และ 2,452 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 267,554 พันล้านเยนสำหรับสองไตรมาสแรกของปี 2546

เงินตรา สกุลเงินเยน (YEN: Y)

รายได้ประชาชาติ 28,000 ดอลลาร์สหรัฐ /คน/ ปี (ปี 2545)

อัตราการเติบโตของ GDP ร้อยละ 1.6 (ปี 2545) และร้อยละ 2.9 ในไตรมาสที่ 1 และร้อยละ 2.1 ในไตรมาสที่ 2 (ปี 2546)

อัตราการว่างงาน ร้อยละ 5.1 (ประมาณ 3.40 ล้านคน) (กันยายน 2546)

อัตราแลกเปลี่ยน ประมาณ 106 เยน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ (มกราคม 2546) หรือ 3 เยน ต่อ 1 บาท
อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ –0.9 (ปี 2545)

สินค้าออก เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ต่าง ๆ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์จากโลหะเหล็กและเหล็กกล้า สิ่งทอ และเครื่องบริโภค

สินค้าเข้า ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์อาหาร วัตถุดิบต่าง ๆ สิ่งทอ

ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ สหรัฐฯ จีน สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง เยอรมนี และไทย
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น

ความสัมพันธ์กับไทย

ความสัมพันธ์ ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2430 (ค.ศ. 1887)

กลไกความสัมพันธ์

1) การประชุมประจำปีทวิภาคีด้านการเมืองและการทหารทวิภาคีระหว่างกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศของไทยกับญี่ปุ่น (Bilateral Political and Military Meeting)

2) การประชุมความร่วมมือทางวิชาการประจำปีไทย-ญี่ปุ่น

3) การประชุมหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (ชื่อเดิม คือ การประชุมปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น)

4) การประชุมคณะกรรมการความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (ภาคเอกชน)

การค้าไทยกับญี่ปุ่น
ญี่ปุ่น เป็นประเทศคู่ค้าลำดับที่ 1 ของไทยในปี 2545 และ มีมูลค่าการค้าสองฝ่ายรวม 1,068,881 ล้านบาท (ประมาณ 24,857 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) การส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นในปี 2545 มูลค่า 429,425 ล้านบาท (ประมาณ 10,006 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ลดลงร้อยละ 3.01 เมื่อเทียบกับปี 2544 (442,492 ล้านบาท/9,945 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) คิดเป็นร้อยละ 14.5 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย การนำเข้าจากญี่ปุ่น ในปี 2545 มูลค่า 639,456 ล้านบาท (ประมาณ 14,811 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.58 เมื่อเทียบกับปี 2544 (616,512 ล้านบาท/13,830 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) คิดเป็นร้อยละ 3 ของมูลค่าการนำเข้าของญี่ปุ่นทั้งหมด ในปี 2545 ไทยขาดดุลการค้าเป็นมูลค่า 210,031 ล้านบาท (ประมาณ 4,805 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.14 เมื่อเทียบกับปี 2544 (174,020 ล้านบาท/3,885 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

สินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น แผงวงจรไฟฟ้า ส่วนประกอบรถยนต์ เหล็กแผ่นรีดร้อน ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ส่วนประกอบเครื่องยนต์ เครื่องจักรที่ทำงานเป็นเอกเทศ ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ เหล็กแผ่นชุบ รถบรรทุก แบบหล่อสำหรับโลหะและวัสดุ และอื่น ๆ


สินค้าส่งออกจากไทย เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ยางธรรมชาติ แผงวงจรไฟฟ้า ส่วนประกอบเครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม ไก่สดแช่เย็น เนื้อสัตว์ปรุงแต่ง อาหารทะเลแปรรูป ไดโอด ทรานซิสเตอร์ เครื่องรับโทรศัพท์และส่วนประกอบ เนื้อปลาสดแช่เย็น แช่แข็ง และอื่น ๆ