วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552

ทัชมาฮาล อัครอนุสรณ์สถานแห่งความรัก

ทัชมาฮาล อัครอนุสรณ์สถานแห่งความรัก

ทัชมาฮาล นั้นถ้าคนที่ไม่รู้ประวัติมาก่อน เห็นความสวยงามแล้วคงไม่นึกว่าจะเป็นสุสานหินอ่อน ที่ผู้คนทั้งหลายยกย่องว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในสวนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ในเมืองอัครา ประเทศอินเดีย นับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ในการโหวตล่าสุดจากชาวเน็ททั่วโลก และก็ติดอันดับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นยุคใดๆก็ตาม และเมื่อเร็วๆนี้อินเดีย ก็เพิ่งได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 350 ปีของทัชมาฮาล ซึ่งเป็นเสมือนสมบัติอันล้ำค่าของคนอินเดีย ดังนั้น ทางการจึงเข้มงวดกวดขันกับการดูแลรักษาทัชมาฮาลมาก เนื่องจากสภาวะมลพิษต่างๆได้ส่งผลเสียหายต่อผิวหินอ่อนของทัชมาฮาลมาก ทั้งฝุ่นควัน และฝนกรดที่เกิดจากระบบอุตสาหกรรม ทางการต้องใช้เงินจำนวนมาก ในการบูรณะรักษาให้อยู่ในสภาพเดิมไว้ จึงไม่อนุญาตให้ขบวนยานพาหนะที่เต็มไปด้วยมลพิษและโรงงานอุตสาหกรรมเข้าใกล้ทัชมาฮาล เขาได้จัดที่จอดรถไว้ห่างประมาณหนึ่งกิโลเมตร และต้องเช่ารถม้า หรือรถไฟฟ้าคันเล็กๆเข้าไปกันเอง

ทัชมาฮาล (ตาช มฮัล) มีรากศัพท์เดิมมาจากภาษาอาหรับ ตาจญ์ (มงกุฎ) และ มะฮัล (สถาน) เป็นอนุสรณ์สถาน สร้างขึ้นโดยกษัตริย์อินเดีย ผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์ คือเจ้าชายขุร์รัม ชึ่งต่อมาได้เป็นจักรพรรดิชาห์ จาฮาน จักรพรรดิมุสลิมองค์ที่ห้าแห่งราชวงศ์โมกุล ทรงพระราชสมภพในปี พ.ศ. 2135 พระบิดา คือ จักรพรรดิ ชาห์ ชฮานชีร์

ตามตำนานกล่าวว่า เจ้าชายขุร์รัม ได้พบกับ อรชุมันท์ พานุ เพคุม ธิดาของรัฐมนตรี เชื้อสายเปอร์เซีย เมื่อพระองค์ มีพระชนมายุเพียง 14 พรรษา พระองค์ทรงหลงใหลและหลงรักสาวงามนางนี้ เจ้าชายขุร์รัมจึงซื้อเพชรด้วยเงิน 10,000 รูปี และบอกแก่พระบิดาของพระองค์ว่าพระองค์มีความประสงค์ที่จะแต่งงานกับบุตรสาวของรัฐมนตรี แต่พิธีอภิเษกก็ถูกจัดขึ้นหลังจากนั้น 5 ปี ในปี พ.ศ. 2155 และตั้งแต่นั้นมา ทั้งสองก็มิเคยอยู่ห่างกันอีกเลย


ประตูด้านนอก


ทางเดินและแนวกำแพงก่อนถึงประตูชั้นใน


เมื่อมองผ่านแนวประตูชั้นใน ก็จะพบภาพแรกของทัชมาฮาล ตั้งตระหง่านอยู่


ซุ้มประตูใหญ่ชั้นใน ที่สร้างได้อย่างอลังการ ไม่น้อยหน้าอาคารหลัก

หลังจากที่พระเจ้าชาห์ จาฮาน ขึ้นครองราชบัลลังก์ในปี พ.ศ. 2171 พระองค์มอบความไว้วางใจแก่ อรชุมันท์ พานุ เพคุม และเรียกนางว่า มุมตัซ มาฮาล หรือ "อัญมณีแห่งราชวัง" ซึ่งได้ติดตามพระองค์ไปทุกหนแห่ง แม้แต่ในสนามรบ ทั้งได้แนะนำพระองค์ในเรื่องราชการของประเทศ จนพระองค์ซาบซึ้งในน้ำพระทัยของพระมเหสียิ่งนัก วาระสุดท้ายที่มุมตัช มาฮาล มเหสีสุดที่รักของกษัตริย์ ชาน์ จาฮานจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับนั้น กษัตริย์ชาห์จาฮาน ยกทัพไปปราบกบฏข่านชะหานโลดีที่เดกคานโดยมีมุมตัช มาฮาล ติดตามไปให้กำลังใจสามีด้วยทั้งๆที่เธอตั้งท้องแก่ เมื่อกษัตริย์ชาห์จาฮาน ปราบกบฏราบคาบแล้ว ก็กลับเมืองมุระหันปุระ มุมตัช มาฮาลเจ็บท้องคลอดลูกแต่พอเธอคลอดแล้วเธอตกเลือดมาก อยู่เพียงชั่วโมงเดียวก็สิ้นใจในอ้อมกอดของกษัตริย์ชาห์จาฮาน ก่อนที่มุมตัช มาฮาล จะสิ้นใจ เธอได้ขอร้องสามี 2 ข้อด้วยกัน คืออย่าให้กษัตริย์ชาห์จาฮาน มีภรรยาใหม่ และขอให้กษัตริย์ชาห์จาฮาน สร้างอนุสาวรีย์ที่ฝังศพของเธอให้งดงาม เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกให้ได้ กษัตริย์ชาห์จาฮานรับปากที่จะปฏิบัติตามทุกอย่าง เยี่ยงสามีที่รักภรรยาอย่างสุดชีวิต ในครั้งแรกศพของ มุมตัช มาฮาล ฝังไว้ที่เมืองมุระหันปุระ เพื่อเตรียมเคลื่อนย้ายไปสู่นครอัครา จนกระทั่งต่อมาอีก 6 เดือนกษัตริย์ชาห์จาฮานได้สั่งให้เคลื่อนย้ายศพของเธอไปบรรจุไว้ที่หลุมฝังศพในสวนราชาขัยสิงห์ แห่งนครอัครา โดยสร้างศาลาชั่วคราวไว้เหนือหลุมศพ ในวันเคลื่อนศพมุมตัช มาฮาล มายังนครอัครานี้ ได้มีริ้วขบวนเกียรติยศยิ่งใหญ่มาก เจ้าชายสุชาโอรสองค์ที่สองของกษัตริย์ชาห์จาฮาน นำขบวนประยูรญาติเดินตามพระศพ มีการโปรยทานตลอดทาง


เดินจากซุ้มประตูชั้นใน ก็จะถึงแท่นยกพื้นใหญ่ เป็นจุดที่จะมองทัชมาฮาลได้อย่างเต็มตา



ถ้าหันหลังกลับก็จะเห็นซุ้มประตูที่ผ่านเข้ามา


นับแต่มุมตัช มาฮาลสิ้นชีวิต กษัตริย์ชาห์จาฮาน ก็หมกมุ่นจมปลักอยู่ในความทุกข์ตลอดเวลา มิได้ยิ้ม มิได้หัวเราะ โดยเฉพาะมิได้สนใจต่อร่างกายตนเอง ปล่อยเนื้อปล่อยตัว จนผมดำกลายเป็นผมขาวทั้งศีรษะ ทุกวันกษัตริย์ชาน์จาฮานนุ่งขาวห่มขาว ไปนั่งรำพันถึงมุมตัช มาฮาล ข้างหลุมศพ บางครั้งกอดหลุมศพรำพันอย่างเสียสติ กษัตริย์ชาห์จาฮาน ได้โปรดนำเงินหนึ่งแสนรูปีออกทำบุญแผ่กุศลแก่มุมตัช มาฮาล หลังจากที่เธอจากไปเป็นเวลา 3 ปี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1631 กษัตริย์ชาห์จาฮาน โปรดให้สร้างอนุสาวรีย์ใหญ่ เป็นที่ฝั่งศพของมุมตัช มาฮาล โดยเลือกบริเวณฝั่งขวาแม่น้ำยมนา ตอนโค้งที่สวยงามและเหมาะที่สุด โดยที่นี่เดิมเป็นสวนของขุนนางผู้ใหญ่หลายท่าน มีเนื้อที่ 125 ไร่ ครั้งแรกกษัตริย์ชาห์จาฮาน ให้ทำรูปจำลองก่อนด้วยไม้ เมื่อรูปจำลองพอใจแล้ว จึงมีการลงมือสร้างด้วยหินอ่อนขาวชนิดเยี่ยมทั้งสิ้น สถาปนิกที่ออกแบบก่อสร้างอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ กษัตริย์ชาห์จาฮานได้เชิญสถาปนิกเอกทั่วอินเดีย เตอร์กี และเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาเป็นทีมงานสถาปนิกและวิศวกร โดยมีสถาปนิกใหญ่ ผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยม (และโชคร้ายที่สุด) ซึ่งกษัตริย์ชาน์จาฮานคัดเลือกคือ อุสตาด ไอซา เป็นผู้ออกแบบ และมุหะมัด อิซเอฟันดี ชาวเตอรกี เป็นสถาปนิก มุหะมันชารีฟแห่งแคว้นซามาระกันต์ เป็นผู้ช่วย ทั้งสองได้รับเงินเดือนๆละ 1 พันรูปี มุหะมัด ฮานนีฟ แห่งอัครา เป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายวิศวกร อิสไมล์ข่าน แห่งเตอร์กี เป็นผู้สร้างโดม มโนสิงห์ แห่งละโฮว์ มันสิฑาร์ แห่งมุลตาล โหหันลาล แห่งกาเนาร์ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายตกแต่ง อมานข่าน แห่งเปอร์เซีย และมุหะมัดข่าน แห่งแบกแดด เป็นผู้ประดิษฐ์อักษรจารึก ซาดสมานิ ข่าน แห่งอาหรับเป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลปะทั่วไป อมตามูหะมัก แห่งมอสควา เป็นนายช่างแกะสลัก อับดุลสะ แห่งเมืองเดลี มุหะมัด สัจจะ แห่งเมืองบอล์ซ และสกุลลา แห่งเมืองมุลตาน เป็นช่างก่ออิฐ พลเทพพาส อมีร์อาลีราษันข่าน แห่งมุลตาน เป็นผู้สลักดอกไม้ อับดุล การิบ และมาการะมัดข่าน เป็นผู้สร้างที่ฝั่งศพ มุฮัมมัดอิชา ออกแบบอนุสาวรีย์ โดยอาศัยเค้าโครงจากที่ฝังศพของหูมายูนที่เมืองนิวเดลี เห็นรายชื่อทีมงานเหล่านี้แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่สิ่งก่อสร้างเลื่องชื่อนี้จะสวยงามแบบไม่มีใครเปรียบ และราชสมบัติส่วนใหญ่ของกษัตริย์ชาห์จาฮาน ก็ได้ทุ่มเทไปเพื่อการสร้างอนุสรณ์แห่งความรักของทั้งสองพระองค์แห่งนี้ ในสมัยนั้นพระองค์ใช้ทรัพย์ไปมากมาย แต่หลายแหล่งระบุไม่ตรงกัน เลยไม่รู้จะเชื่อใครดี เอาเป็นว่า มากมายมหาศาลก็แล้วกันครับ


รายละเอียดลวดลายประดับหินมีค่าและอัญมณี


อาคารเป็นแบบจตุรมุข เหมือนกันทั้ง 4 ด้าน

ส่วนยอดหอคอย



รายละเอียดของโดมทรงหัวหอม

ทัชมาฮาล ออกแบบสร้างขึ้นด้วยสัดส่วนที่วิจิตรและงดงามที่สุดในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบมุสลิม มีส่วนยอดของทัชมาฮาล เป็นโดมที่เรียกว่าโอเนียนโดม (หรือทรงหัวหอม) เป็นเอกลักษณ์ มีขนาด กว้างยาวด้านละ 100 เมตร สูง 60 เมตร ออกแบบโดยนายช่างชาวอิหร่าน ชื่อ อุสตาด ไอซา ที่อุตส่าห์ทุ่มเททำงานอย่างสุดฝีมือ แต่สุดท้ายกลับถูกประหารชีวิตเพื่อมิให้ไปออกแบบสถาปัตยกรรมใดๆ ที่สวยกว่าได้ ช่างเป็นรางวัลที่ห่วยที่สุดในโลกทีเดียว (ขอไว้อาลัยในฐานะสถาปนิกร่วมโลกรุ่นเหลน) มีแรงงานก่อสร้างร่วม 20,000 คน ทุกฝ่ายทุ่มเทสุดความสามารถ และทุ่มเทชีวิต สร้างอนุสาวรีย์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพื่อถวายความจงรักภักดีต่อมุมตัช มาฮาล ผู้เคยให้ความเมตตากรุณาต่อพวกเขาอย่างยิ่ง ในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งประณีตวิจิตรบรรจงเท่าใด ก็เป็นการถวายความจงรักภักดีมากเท่านั้น


มุมมองจากฝั่งแม่น้ำ


โค้งน้ำยมุนาด้านหลัง

วัสดุก่อสร้างชั้นดี ถูกคัดเลือกมาจากแหล่งต่างๆ เช่นหินอ่อนได้จากเมืองชัยปุระ ศิลาแลงจากฟาเตปุรริขรี พลอยสีฟ้าจากธิเบต พลอยสีเขียวจากอียิปต์ หินสีฟ้า และโมราจากคัมภัย เพชรจากเมืองฟันนา หินทองแดงจากรัสเซีย และหินทรายจากแบกแดด ต้องใช้ช้างถึง 1000 เชือก ในการขนวัสดุก่อสร้างทั้งหมด การก่อสร้างกินเวลานานถึง 22 ปี จึงแล้วเสร็จ จึงไม่น่าแปลกใจกับกับคำจำกัดความของการก่อสร้างที่นี่ว่า "having been designed by giants and finished by jewellers" แต่ความงามของทัชมาฮาล ไม่ได้จบลงแค่นั้น ด้วยที่ตั้งและสภาพแวดล้อม ยังก่อเกิดความงามจากแสงสว่างที่ตกกระทบและสะท้อนสู่ตัวหินอ่อนอีกด้วย แสงสีนี้จะเปลี่ยนไปตามวัน เวลา และฤดูกาล เช่นแสงแดดตอนเช้า จะสะท้อนสีชมพูอ่อน ตอนบ่ายจะเป็นสีขาวขุ่น และตกกลางคืน แสงจันทร์จะส่องเป็นประกายสีทอง


ลวดลายอันวิจิตรพิสดารภายใน

ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดในทัชมาฮาลนี้ คือ หลุมศพของพระนางมุมตัซ มาฮาล ซึ่งถูกสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร พลอย หิน โมราและเครื่องประดับจากมิตรประเทศ อยู่ตรงกลางภายใต้หลังคาโดมใหญ่ มีแท่นวางหีบศพที่ทำด้วยหินอ่อน และมีฉากหินอ่อนฉลุลายงามเป็นพิเศษกั้นอีกชั้นหนึ่ง แต่พระศพจริงๆ หาได้บรรจุอยู่ในหีบศพนั้นไม่เป็นแค่หีบจำลอง แต่หีบจริงนั้นกลับฝังอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินตรงบริเวณนั้นแทน ภายในทัชมาฮาลนี้ เขาจะห้ามถ่ายภาพเด็ดขาด ก็คงเหมือนกับระเบียบการทั่วไปของการเข้าชมพิพิธภัณฑ์หรือพระราชวังใหญ่ๆหลายแห่งนั่นเอง


ฉากหินอ่อนฉลุลายงามเป็นพิเศษ ที่กั้นอีกชั้นหนึ่ง



แท่นพระศพของของกษัตริย์ ชาห์จาฮาน และ มุมตัช มาฮาล

ในปี พ.ศ. 2200 พระเจ้าชาห์ จาฮานทรงพระประชวร และในปี พ.ศ. 2201 พระโอรส โอรังเซบ จับพระเจ้าชาห์ จาฮานขัง และขึ้นครองราชบัลลังก์เเทน พระองค์ถูกกักขังอยู่ถึง 8 ปี จนกระทั่งสวรรคตในปี พ.ศ. 2209 หีบศพของมุมตัช มาฮาล ถูกเคลื่อนย้ายมาประดิษฐานอยู่ในห้องใต้ดินบริเวณโดม ของโดมมโนสิงห์ หีบศพของมุมตัช มาฮาล และของกษัตริย์ชาห์จาฮาน ประดิษฐานอยู่นั้นเป็นหีบศพจำลอง กษัตริย์ชาห์จาฮาน เฝ้าระทมเพราะการจากไปของมุมตัช มาฮาล มเหสีสุดที่รักอยู่เป็นเวลาถึง 36 ปี ก็พอดีเกิดศึกกลางเมือง มีการแย่งชิงราชบัลลังก์ขึ้นระหว่างพระโอรสของกษัตริย์ชาห์จาฮานเอง กษัตริย์ชาห์จาฮานถูกจับไปขังไว้ที่ป้อมใหม่เมืองอัครา โอรังเซบ โอรสของกษัตริย์ชาห์จาฮานขึ้นครองบัลลังก์แทน กษัตริย์ชาห์จาฮานจึงได้สวรรคตที่ป้อมแห่งนี้ ตามตำนานกล่าวว่าให้วันสุดท้ายของชีวิตพระองค์ใช้เวลาทั้งวันในการจ้องมองเศษกระจกที่สะท้อนภาพของทัชมาฮาล และสิ้นพระชนม์ด้วยเศษกระจกในกำมือ โอวังเซบ ราชโอรส จึงได้นำพระศพของพระบิดามาประดิษฐานไว้เคียงข้างพระศพของมุมตัช มาฮาล มเหสี ซึ่งพระองค์ไม่เคยลืม มีบางคนกล่าวว่าพระเจ้าชาห์ จาฮาน มิได้ประสงค์ที่จะถูกฝังร่วมกับพระมเหสี แต่พระองค์มีแผนการที่จะสร้างสุสานอีกแห่งด้วยหินอ่อนสีดำ เพื่อเป็นสุสานของพระองค์ แต่ผู้รู้หลายท่านเชื่อว่าพระองค์ประสงค์ที่จะถูกฝังเคียงข้างพระนางมุมตัซ มาฮาล

การเข้าเยี่ยมชมทัชมาฮาลนั้น ต้องซื้อตั๋วประมาณเจ็ดร้อยรูปีต่อคน และควรเลือกวันธรรมดาที่จะมีผู้เข้าชมประมาณ 10,000 คน เพราะยิ่งในวันหยุดแล้ว จะมีคนไม่ต่ำกว่า 40,000 คนทีเดียว จะเป็นอุปสรรคต่อการถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง และด้วยความที่อินเดียเป็นเมืองร้อน จึงควรเลือกไปเที่ยวช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน อากาศจะแจ่มใสและเย็นสบาย

ท่านสามารถดาวน์โหลดข้อมูลในรูปแบบ Microsoft Word ได้ที่นี่ http://www.4shared.com/file/101962950/15091cce/__online.html

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

เตือนใจ... เมื่อใช้ยา



ในชีวิตประจำวันเมื่อเราเจ็บไข้ได้ป่วยเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถหายาทานเอง หรือกรณีที่ยังไม่สามารถไปพบแพทย์ได้ เราจำเป็นต้องพึ่งยาที่มีติดบ้านไว้ประจำ เพื่อรักษา หรือบรรเทาอาการก่อนไปพบแพทย์ ยาพื้นฐานที่ทุกครอบครัวมักมีไว้ติดบ้านประจำเผื่อไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เช่น พาราเซตามอล คลอร์เฟนิรามีน ยาแก้ไอน้ำดำ เป็นต้น

ท่านทราบข้อบ่งใช้ วิธีใช้ และข้อควรระวังของยาเหล่านี้หรือไม่ และยาเหล่านี้บางตัวแม้ว่าจะมีประโยชน์อย่างมากและมีความปลอดภัยสูง แต่หากใช้ไม่ถูกต้อง ก็อาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้เช่นกัน

พาราเซตามอล เป็นยาลดไข้แก้ปวดที่ใช้แพร่หลายกันมากที่สุด ใช้ลดไข้และแก้ปวด เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดประจำเดือน เป็นต้น ยาตัวนี้ถือว่ามีความปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารเหมือนแอสไพริน ยาชนิดนี้มีขายอยู่ในท้องตลาดทั้งชนิดเม็ดสำหรับผู้ใหญ่ และชนิดน้ำเชื่อมสำหรับเด็ก ในผู้ใหญ่แนะนำให้ใช้ยาพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม 1 – 2 เม็ด ทุก ๆ 4 – 6 ชั่วโมง แต่ไม่ความกินยาเกิน 8 เม็ดต่อวัน

สำหรับเด็ก เนื่องจากยาที่มีจำหน่ายมีหลายขนาดตามอายุ จึงควรใช้ยาตามขนาดที่แจ้งอยู่ในฉลากยา แต่ทั้งนี้ ขนาดที่แนะนำใช้ในเด็กจะเป็น 10 – 15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัวเด็ก 1 กิโลกรัม แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่แน่ใจในขนาดยาที่ใช้ หรือเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี ก็ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา และหากใช้ยานี้แล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือไข้ไม่ลดก็ควรพบแพทย์

ข้อควรระวัง : ถ้าใช้ยาเกินขนาดมากๆ เช่น 20 เม็ด ก็จะเป็นพิษต่อตับ หรือตับวาย ถึงตายได้เช่นกัน

นอนอย่างไรให้หลับสนิท

การได้นอนหลับสนิทถือเป็นการพัก ผ่อนที่ดีที่สุด หลังจากใช้ชีวิตหัวหกก้นขวิดมาทั้งวัน ในขณะที่บางคนเหนื่อยก็จริงแต่นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาฝืนให้หลับอยู่นั่นแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ขอบอกไว้ก่อนว่าอย่าไปบังคับตัวเอง ให้ต้องนอนเลย มาเริ่มจัดชีวิตปรับเปลี่ยนนิสัยกันเสียใหม่ จะเข้าทีกว่า มูลนิธิเกี่ยวกับการนอนในสหรัฐอเมริกา ให้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่ช่วยให้นอนหลับสบายเอาไว้หลายข้อค่ะ ลองดูตามข้างล่างนี้เลย

ควรเข้านอนให้ตรงเวลาเดียวกันทุกคืน และตื่นขึ้นตามเวลาเดียวกันทุกเช้าจนเป็นนิสัย ไม่เว้นแม้ในวันหยุดสุดสัปดาห์

ก่อนเข้านอนควรทำตัวให้ผ่อนคลาย อาบน้ำ/นอนแช่น้ำอุ่น อ่านหนังสือ หรือฟังเพลงเบาๆ

ภายในห้องควรจะสร้างบรรยากาศในการนอนให้เงียบสงบ เย็นสบาย และไม่มีแสงรบกวน สำหรับที่นอนก็ต้องเลือกที่รองรับตัวได้อยู่ในสภาพดี อันไหนเก่าไป ใช้มา 10 ปีแล้วก็ต้องคัดทิ้ง

ควรออกกำลังกายเป็นประจำ และทิ้งช่วงก่อนเข้านอนสัก 3 ชั่วโมง จำไว้เลยว่าต้อง หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วงเย็นและหัวค่ำ หากเป็นคนนอนหลับยาก เครื่องดื่มคาเฟอีนนอกจากกาแฟแล้วยังมี ชา โคลา ช็อกโกแลตอีกด้วย ข้อนี้ก็สำคัญสำหรับคอยาสูบทั้งหลาย เขาบอกว่านิโคตินในยาสูบจัดเป็นสารกระตุ้น ดังนั้น

ไม่ควรสูบบุหรี่ก่อนเข้านอน เพราะจะทำให้การนอนหลับไม่มีคุณภาพ ใครมีปัญหานอนหลับยากแนะนำว่าให้ลองเลิกสูบบุหรี่ดู และสุดท้าย

ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน เพราะมันจะเข้าไปขัดขวางการนอนหลับ ทำ ให้ลุกตื่นขึ้นมากลางดึกและนั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ

ดูแล้วไม่น่าจะยาก ถ้าอยากนอนหลับให้สนิทลองเริ่มปรับเปลี่ยนนิสัยกันตั้งแต่ วันนี้เลย

โรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้คืออะไร

โรคภูมิแพ้ คือโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งในคนปกติไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ มีปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อ ฝุ่น ตัวไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ เป็นต้น สารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกินนี้เรียกว่า 'สารก่อภูมิแพ้' โรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้ตามอวัยวะที่เกิดโรคได้เป็น 4 โรคคือ
+++โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคแพ้อากาศ
+++โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้
+++โรคหอบหืด
+++โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ อาจมีอาการในอวัยวะเดียว หรือหลายอวัยวะร่วมกันก็ได้

โรคภูมิแพ้ จัด เป็นโรคที่พบบ่อยโรคหนึ่งในประเทศไทย จากการศึกษาอัตราความชุกของโรคในประเทศไทย มีอัตราความชุกอยู่ระหว่าง 15-45 % โดยประมาณ โดยพบโรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มีอัตราชุกสูงสุดในกลุ่มโรคภูมิแพ้ นั่นหมายความว่า ประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ มีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้อยู่

ทำไมฉันถึงเป็นโรคภูมิแพ้..?

โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
โรคภูมิแพ้สามารถ ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ คือถ่ายทอดจากพ่อและแม่ มาสู่ลูก เหมือนภาวะอื่นๆ เช่น หัวล้าน ความสูง สีของตา เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าพ่อแม่ของคุณเป็นโรคภูมิแพ้ คุณอาจจะไม่มีอาการใดๆเลยก็ได้

โดยปกติ ถ้าพ่อหรือแม่ คนใดคนหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้ประมาณ 25 % แต่ถ้าทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นโรคภูมิแพ้ทั้งคู่ ลูกที่เกิดออกมามีโอกาศเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึง 66 % โดยเฉพาะ โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ จะมีอัตราการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์สูงที่สุด

มีปัจจัยอื่นอีกหรือไม่ที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้..??

ถ้าคุณ ได้รับการถ่ายทอดโรคภูมิแพ้ทางกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ของคุณ แต่ไม่เคยสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ คุณก็จะไม่มีอาการของโรคภูมิแพ้ คุณจะต้องได้รับสารก่อภูมิแพ้ ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกินในร่างกายของคุณ การได้รับสารก่อภูมิแพ้ จะต้องได้รับปริมาณมากพอ และนานพอ ที่จะกระตุ้นให้ร่างกายคุณเกิดปฏิกิริยาดังกล่าว จึงทำให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ขึ้น อาการของคุณจะเป็นมากขึ้น เมื่อภูมิต้านทานลดต่ำลง เช่นในขณะที่คุณเข้าสู่วัยรุ่น การติดเชื้อในบริเวณต่างๆ การตั้งครรภ์ เป็นต้น

โรคภูมิแพ้หายขาดได้หรือไม่ ?

เป็นคำถามของผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ทุกคน ต้องการคำตอบมากที่สุด
โรคภูมิแพ้ อาจหายไปได้เอง โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ส่วนใหญ่มักไม่หายขาด โดยอาการของโรคภูมิแพ้อาจสงบลงไปช่วงหนึ่ง และมักจะกลับมาเป็นใหม่

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

All About Japan

ประเทศญี่ปุ่น

http://www.tpa.or.th/jsociety/Bpic/ContentImg1150.jpg


ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น
พื้นที่ทั้งหมด ประมาณ 378,000 ตารางกิโลเมตร รวมทั้งหมู่เกาะต่าง ๆ กว่า 6800 เกาะ
ประชากร มี 127 ล้านคน
เมืองหลวง คือ โตเกียว มีประชากร 12 ล้านคน
ภาษาประจำชาติ คือ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่มีสอนในโรงเรียนตั้งแต่ระดับ 7 ขึ้นไป
ศาสนา ชินโตและพุทธ เป็น 2 ศาสนาหลัก
ภูมิอากาศ โดยทั่ว ๆ ไป อากาศอบอุ่น แต่เนื่องจากพื้นที่ของประเทศแผ่ออกไปตามความยาวถึง 3,000 กิโลเมตรจากเหนือจรดใต้ดังนั้นจึงย่อมจะมีความแตกต่าง ของภูมิอากาศไป บ้างในบางท้องถิ่นตลอดหนึ่งขวบปี ภาคเหนือสุดอากาศค่อนไปทาง หนาวจัด ทาง ใต้สุดค่อนไปทางใกล้เขตร้อน ปริมาณฝนมากที่สุดในแทบทุกภาค อยู่ในช่วงฤดูฝน ราวกลางเดือนถุนายนถึงกลาง เดือนกรกฏาคม

ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ตั้งอยู่ด้านฝั่งตะวันออกของทวีปเอเชีย หรือทางตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก หมู่เกาะญี่ปุ่นทอดตัวเป็นรูปโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว จากทางตอนเหนือที่ละติจูด 45 องศา 33 ลิปดาเหนือ มาทางใต้ ที่ละติจูด 20 องศา 25 ลิปดาเหนือ โดยมีความยาวทั้งสิ้น 3,800 กม.

ลักษณะภูมิประเทศ เป็นประเทศหมู่เกาะ ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยประมาณ 3,900 เกาะ โดยมีเกาะใหญ่ที่สำคัญ 4 เกาะ คือ

1) ฮอกไกโด (83,517 ตารางกม.)
2) ฮอนชู (231,012 ตารางกม.)
3) ชิโกกุ (18,800 ตารางกม.)
4) กิวชู (44,379 ตารางกม.)

ลักษณะ ภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นภูเขา โดยร้อยละ 71 ของพื้นที่ทั้งหมดของญี่ปุ่นเป็นภูเขา ในขณะที่มีพื้นที่ราบเพียงร้อยละ 25 ซึ่งใช้เป็นพื้นที่ทางการเกษตรได้เพียงร้อยละ11 เท่านั้น ญี่ปุ่นมีภูเขาไฟมากประมาณ 1 ใน 10 ของทั้งโลก โดยมีภูเขาฟูจิเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศ (3,776 เมตร) และเป็นภูเขาไฟที่สงบอยู่แต่ยังไม่ดับ และจากการที่ญี่ปุ่นอยู่ในเขตที่มีภูเขาไฟมาก ทำให้มีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นเสมอ

พื้นที่ ประมาณ 377,835 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยผืนดิน 374,744 ตารางกิโลเมตร และผืนน้ำ 3,091 ตารางกิโลเมตร

พื้นที่ชายฝั่งทะเล 29,751 กิโลเมตร

ประชากร ประมาณ 126.97 ล้านคน (พฤษภาคม 2545) อัตราการเติบโตของประชากร คือ ร้อยละ 0.15 (2545) ซึ่งนับเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ของโลก ความหนาแน่นของประชากรประมาณ 336 คน/ตร.กม.

เชื้อชาติ เชื้อชาติญี่ปุ่น ในทางประวัติศาสตร์เชื่อกันโดยทั่วไปว่าบรรพบุรุษของชาวญี่ปุ่นได้แก่กลุ่ม เผ่าพันธุ์หนึ่งที่เรียกในปัจจุบันว่า เผ่าพันธุ์ยามาโตะ ผสมกับคนที่อพยพมาจากแผ่นดินใหญ่ ได้แก่ จีนและเกาหลี ปัจจุบันคนต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่อยู่ในญี่ปุ่น ได้แก่ ชาวเกาหลีและชาวจีน รวมทั้งเผ่าไอนุ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นไม่ถือว่าประเทศของตนมีชนกลุ่มน้อย

ศาสนา ศาสนาใหญ่ ๆ มี 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธ และศาสนาชินโต นอกจากนั้นได้แก่ ศาสนาคริสต์และลัทธิขงจื้อ

ภาษา ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาราชการ

การศึกษา ภาคบังคับ 9 ปี

อัตราการรู้หนังสือ ร้อยละ 99.9

วันชาติ วันที่ 23 ธันวาคม: วันพระราชสมภพของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ (พ.ศ. 2476 หรือ ค.ศ. 1933)

เมืองหลวง กรุงโตเกียว (Tokyo)

ภูมิอากาศ มี 4 ฤดูหลัก ที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ
ฤดูใบไม้ผลิ : (มีนาคม-พฤษภาคม) อากาศอบอุ่น
ฤดูร้อน : (มิถุนายน-สิงหาคม) อากาศร้อนชื้นโดยมีช่วงฤดูฝนสั้น ๆ ประมาณ 1 เดือน ในช่วงต้นฤดู
ฤดูใบไม้ร่วง : (กันยายน-พฤศจิกายน) อากาศอบอุ่น โดยมีพายุไต้ฝุ่นมากในช่วงเดือนกันยายน
ฤดู หนาว : (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) อากาศหนาว มีหิมะตกมากทางภาคเหนือของประเทศและฝั่งทะเลญี่ปุ่น ส่วนทางใต้และฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก อากาศจะอบอุ่นกว่า
คลิกที่นี่เพื่อดูพยากรณ์อากาศวันนี้และอีก 10 วัน ที่กรุงโตเกียว

การเมืองการปกครอง
รูปแบบการปกครอง ระบอบเสรีประชาธิปไตย โดยมีรัฐสภาเป็นสถาบันสูงสุดของรัฐ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล นอกจากนี้ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้มีการบัญญัติไว้ว่าสมเด็จพระ จักรพรรดิทรงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ

ประมุข สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ (His Majesty Emperor Akihito)

รัฐสภา เรียกชื่อว่า “สภาไดเอท” ประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีสมาชิก 480 คน มาจากการเลือกตั้งทั่วประเทศมีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี และวุฒิสภา ซึ่งมีสมาชิก 252 คน มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 6 ปี โดยเลือกตั้งจำนวนครึ่งหนึ่งสลับกันไปทุก 3 ปี คลิกที่นี่เพื่อดูรูป
- ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายโยเฮ โคโนะ (Yohei Kono)
- ประธานวุฒิสภา นายฮิโรยุกิ คุราตะ (Hiroyuki Kurata)

การปกครองท้องถิ่น ญี่ปุ่นแบ่งเขตการปกครองท้องถิ่นออกเป็น 47 จังหวัด (Prefecture) ซึ่งรวมกรุงโตเกียว (Tokyo Metropolis) ด้วย การปกครองส่วนท้องถิ่นภายในจังหวัดแยกออกเป็น นคร เมือง และหมู่บ้าน ยกเว้นกรุงโตเกียวที่มีเขตการปกครอง เฉพาะในส่วนใจกลาง 23 เขต นอกเหนือไปจากเขตชานกรุง ซึ่งประกอบด้วย 27 นคร 5 เมือง และ 8 หมู่บ้าน ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรีของนครขนาดใหญ่ ของเมืองและของหมู่บ้านตลอดจนสมาชิกสภาส่วนท้องถิ่นทุกระดับมาจากการเลือก ตั้ง

การเลือกตั้ง สภาผู้แทนราษฎรมีการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อ 9 พฤศจิกายน 2546 วุฒิสภามีการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อ 29 กรกฎาคม 2544 โดยจะมีการเลือกตั้งสมาชิกครึ่งหนึ่ง ในทุก 3 ปี

พรรคการเมือง พรรคการเมืองที่สำคัญ ได้แก่

- พรรคเสรีประชาธิปไตย ( Liberal Democratic Party : LDP) เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล
- พรรคนิว โคเมโต (New Komeito) เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
- พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ (New Conservative Party หรือ Hoshushinto) เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
- พรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น (Democratic Party of Japan : DPJ : Minshuto) แกนนำฝ่ายค้าน
- พรรคสังคมประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น (Social Democratic Party of Japan : SDP) เป็นพรรคฝ่ายค้าน
- พรรคคอมมิวนิสต์ (Japan Communist Party - JCP) เป็นพรรคฝ่ายค้าน

เศรษฐกิจการค้า

ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) 4,505 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2545) หรือ 540,607.9 พันล้านเยน และ 2,452 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 267,554 พันล้านเยนสำหรับสองไตรมาสแรกของปี 2546

เงินตรา สกุลเงินเยน (YEN: Y)

รายได้ประชาชาติ 28,000 ดอลลาร์สหรัฐ /คน/ ปี (ปี 2545)

อัตราการเติบโตของ GDP ร้อยละ 1.6 (ปี 2545) และร้อยละ 2.9 ในไตรมาสที่ 1 และร้อยละ 2.1 ในไตรมาสที่ 2 (ปี 2546)

อัตราการว่างงาน ร้อยละ 5.1 (ประมาณ 3.40 ล้านคน) (กันยายน 2546)

อัตราแลกเปลี่ยน ประมาณ 106 เยน ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ (มกราคม 2546) หรือ 3 เยน ต่อ 1 บาท
อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ –0.9 (ปี 2545)

สินค้าออก เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ต่าง ๆ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์จากโลหะเหล็กและเหล็กกล้า สิ่งทอ และเครื่องบริโภค

สินค้าเข้า ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์อาหาร วัตถุดิบต่าง ๆ สิ่งทอ

ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ สหรัฐฯ จีน สาธารณรัฐเกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง เยอรมนี และไทย
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น

ความสัมพันธ์กับไทย

ความสัมพันธ์ ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2430 (ค.ศ. 1887)

กลไกความสัมพันธ์

1) การประชุมประจำปีทวิภาคีด้านการเมืองและการทหารทวิภาคีระหว่างกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศของไทยกับญี่ปุ่น (Bilateral Political and Military Meeting)

2) การประชุมความร่วมมือทางวิชาการประจำปีไทย-ญี่ปุ่น

3) การประชุมหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (ชื่อเดิม คือ การประชุมปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น)

4) การประชุมคณะกรรมการความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (ภาคเอกชน)

การค้าไทยกับญี่ปุ่น
ญี่ปุ่น เป็นประเทศคู่ค้าลำดับที่ 1 ของไทยในปี 2545 และ มีมูลค่าการค้าสองฝ่ายรวม 1,068,881 ล้านบาท (ประมาณ 24,857 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) การส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นในปี 2545 มูลค่า 429,425 ล้านบาท (ประมาณ 10,006 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ลดลงร้อยละ 3.01 เมื่อเทียบกับปี 2544 (442,492 ล้านบาท/9,945 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) คิดเป็นร้อยละ 14.5 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย การนำเข้าจากญี่ปุ่น ในปี 2545 มูลค่า 639,456 ล้านบาท (ประมาณ 14,811 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.58 เมื่อเทียบกับปี 2544 (616,512 ล้านบาท/13,830 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) คิดเป็นร้อยละ 3 ของมูลค่าการนำเข้าของญี่ปุ่นทั้งหมด ในปี 2545 ไทยขาดดุลการค้าเป็นมูลค่า 210,031 ล้านบาท (ประมาณ 4,805 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.14 เมื่อเทียบกับปี 2544 (174,020 ล้านบาท/3,885 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

สินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น แผงวงจรไฟฟ้า ส่วนประกอบรถยนต์ เหล็กแผ่นรีดร้อน ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ส่วนประกอบเครื่องยนต์ เครื่องจักรที่ทำงานเป็นเอกเทศ ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ เหล็กแผ่นชุบ รถบรรทุก แบบหล่อสำหรับโลหะและวัสดุ และอื่น ๆ


สินค้าส่งออกจากไทย เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ยางธรรมชาติ แผงวงจรไฟฟ้า ส่วนประกอบเครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม ไก่สดแช่เย็น เนื้อสัตว์ปรุงแต่ง อาหารทะเลแปรรูป ไดโอด ทรานซิสเตอร์ เครื่องรับโทรศัพท์และส่วนประกอบ เนื้อปลาสดแช่เย็น แช่แข็ง และอื่น ๆ

All About Italy

ประเทศอิตาลี

ข้อมูลทั่วไป
ชื่อประเทศตามภาษาพื้นเมือง Repubblica Italiana
ที่ตั้ง ตอนใต้ของทวีปยุโรป โดยมีลักษณะเป็นคาบสมุทรยื่นออกไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พื้นที่ร้อยละ 75 เป็นภูเขาและที่ราบสูง
อาณาเขต ทิศเหนือ จรดสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย ทิศใต้ จรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลไอโอเนียน ทิศตะวันตก จรดฝรั่งเศส และทะเลไทเรเนียน(Tyrrhenian) ทิศตะวันออก จรดทะเลอาเดรียติก และอยู่ตรงข้ามกับสโลเวเนียโครเอเชีย บอสเนีย มอนเตเนโกร และแอลเบเนีย


พื้นที่ 116,303 ตารางไมล์ หรือ 301,225 ตารางกิโลเมตร นอกจากดินแดนที่เป็นคาบสมุทรแล้ว อิตาลียังประกอบด้วยเกาะซาร์ดิเนียและซิซิลีด้วย พื้นที่ร้อยละ 57 เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ร้อยละ 21 เป็นป่าและภูเขา

ภูมิอากาศ แบบเมดิเตอร์เรเนียน


ประชากร 58 ล้านคน (ค.ศ. 2004) ความหนาแน่นของประชากร 200 คน ต่อ 1 ตารางกม. อัตราการเพิ่ม 0.09% มีประชากรในวัยทำงาน (workforce) 24.3 ล้านคน (โดยอยู่ในภาคบริการ 63 % ภาคอุตสาหกรรมและพาณิชย์ 32 % ภาคเกษตร 5% และว่างงาน 7.9%) เชื้อชาติ ส่วนใหญ่คืออิตาเลียน และมีชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติอื่นๆคือ เยอรมัน ฝรั่งเศส สโลเวเนีย และแอลเบเนีย


เมืองหลวง โรม (Rome) ประชากร 2.7 ล้านคน

เมืองสำคัญ โรม มิลาน เนเปิลส์ ตูริน เจนัว


ภาษาราชการ อิตาเลียน และมีภาษาเยอรมันเป็นภาษารอง โดยเฉพาะบริเวณแคว้น Trentino-Alto Adige ที่ติดกับออสเตรีย และภาษาฝรั่งเศสในแคว้น Valle d’Aosta นอกจากนี้ สามารถใช้ภาษาสเปนกับชาวอิตาเลียนได้ อนึ่ง ในอิตาลีมีภาษาท้องถิ่น อาทิ TUSCAN dialect


ศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (98%) แต่ให้เสรีภาพทุกศาสนาอิตาลีรับรองสถานะพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการตั้งแต่มีนาคม ค.ศ. 2000

สกุลเงิน Euro

All About The United States of America

สหรัฐอเมริกา

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4e/Statueliberty.JPG/290px-Statueliberty.JPG

ข้อมูลทั่วไป

ประเทศสหรัฐอเมริกา
( The United States of America )

ที่ตั้ง : ทวีปอเมริกาเหนือ โดยมีมลรัฐ Alaska อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคนาดา และ มีมลรัฐฮาวายอยู่ทางตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิก

เนื้อที่ : มีเนื้อที่ประมาณ 9,629,091 ตารางกิโลเมตรหรือ 3,537,441 ตารางไมล์เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซียและแคนาดา

อาณาเขตติดต่อ : ทิศเหนือ ติดกับ แคนาดา
ทิศใต้ ติดกับ เม็กซิโก
ทิศตะวันออก ติดกับ มหาสมุทรแอตแลนติก
ทิศตะวันตก ติดกับ มหาสมุทรแปซิฟิก

ภูมิอากาศ: อากาศหนาว เว้นแต่ในมลรัฐฮาวาย และมลรัฐฟลอริดา หนาวเย็นมากที่บริเวณขั้วโลกเหนือในมลรัฐอะแลสกา บริเวณที่ราบด้านตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี (Mississippi) จะค่อนข้างแห้งแล้ง และมีความแห้งแล้งมากบริเวณที่ลุ่มภาคตะวันตกเฉียงใต้ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือมีอุณหภูมิต่ำในช่วงฤดูหนาว ซึ่งจะมีอากาศดีขึ้นเป็นครั้งคราวในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ โดยจะได้รับความอบอุ่นจากลมของเนินเขาด้านตะวันออกของเทือกเขาร๊อกกี้

ทรัพยากรธรรมชาติ : ถ่านหิน, ทองแดง, เกลือ, ยูเรเนี่ยม, ทองคำ, เหล็ก, ปรอท, นิเกิล, โปแตส, เงิน, วุลแฟรม, ทังสแตน, สังกะสี, ปิโตรเลี่ยม, ก๊าซธรรมชาติและป่าไม้ เป็นต้น

ประชากร : มีจำนวน 290, 342, 554 คน (กรกฎาคม 2546)

เชื้อชาติ :คนขาวร้อยละ 77.1
คนดำหรือคนแอฟริกันอเมริกันร้อยละ 4.2
คนอเมริกันอินเดียนและชาวอะแลสการ้อยละ 1.5
ชาวฮาวายเอียนและชาวเกาะแปซิฟิกร้อยละ 0.3
คนเชื้อชาติอื่น ร้อยละ 4

ศาสนา โปรเตสแตนท์ร้อยละ 56
โรมันคาทอลิก ร้อยละ 28
ยิวร้อยละ 2
อื่นๆร้อยละ 4
ไร้ศาสนาร้อยละ 10

ภาษาราชการ : ภาษาอังกฤษ

วันชาติ : 4 กรกฎาคม

หน่วยเงิน : ดอลลาร์สหรัฐ US dollar (USD)

อัตราแลกเปลี่ยน : 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 35.90
เวลาต่างจากไทย : ฝั่งตะวันออก 12 ชั่วโมง ฝั่งตะวันตก 15 ชั่วโมง

การเมืองการปกครอง
ประวัติของประเทศสหรัฐ อเมริกาก่อกำเนิดขึ้นจากการประกาศอิสรภาพของรัฐอธิปไตย 13 มลรัฐ คำประกาศดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 และอังกฤษยอมรับเอกราชของชาติอเมริกาในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ 1789 ต่อมาในปีเดียวกัน รัฐเหล่านั้นจึงได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อก่อตั้งสหพันธรัฐ โดยให้มีรัฐบาลกลางที่เข้มแข็ง รัฐต่างๆมอบอำนาจอธิปไตยหลายประการให้รัฐบาลกลางที่กรุงวอชิงตัน แต่สงวนอำนาจบางประการไว้ เช่น อำนาจนิติบัญญัติและการคลังในระดับมลรัฐ ดังนั้น ทุกมลรัฐจึงมีวุฒิสภาและสภาผู้แทนของตนเอง ( ยกเว้นเนแบรสกา ซึ่งมีสภาเดียว ) และมีอำนาจเก็บภาษีผู้มีภูมิลำเนาในมลรัฐ

ชื่อประเทศ : ชื่อเต็ม United States of America เรียกว่า สหรัฐอเมริกา
ชื่อย่อ United States เรียกว่า สหรัฐฯ
อักษรย่อ US หรือ USA
ระบอบการปกครอง : สหพันธรัฐ (Federal Republic); แบบประชาธิปไตย
โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขและเป็นหัวหน้ารัฐบาล (Chief Executive) ภายใต้รัฐธรรมนูญ
เมืองหลวง : กรุงวอชิงตัน (Washington,D.C.)
การแบ่งการปกครอง : ประกอบด้วย 50 มลรัฐและ 1 District (District of Columbia ซึ่งเป็นที่ตั้งของ กรุงวอชิงตัน) ได้แก่
Alabama, Alaska (เป็นมลรัฐที่ใหญ่ที่สุด), Arizona, Arkansas, California, Colorado, Connecticut, Delaware, District of Columbia, Florida, Georgia, Hawaii, Idaho, Illinois, Indiana, Iowa, Kansas, Kentucky, Louisiana, Maine, Maryland, Massachusetts, Michigan, Minnesota, Mississippi, Missouri, Montana, Nebraska, Nevada, New Hamshire, New Jersey, New Mexico, New York, North Carolina, North Dakota, Ohio, Oklahoma, Oregon, Pennsylvania, Rhode Island (เป็นมลรัฐที่เล็กที่สุด), South Carolina, South Dakota, Tennessee, Texas, Utah, Vermont, Virginia, Washington, West Virginia, Wisconsin, Wyoming
เขตการปกครองอื่นๆ : American Samoa, Baker Island, Guam, Howland Island, Jarvis Island, John Atoll, Kingman Reef, Midway Islands, Navassa Island, Northern Mariana Islands, Palmyra Atoll, Puerto Rico, Virgin Islands, Wake Island

ระบบกฎหมาย : อยู่บนรากฐานของกฎหมายจารีตประเพณีของอังกฤษ
สิทธิในการเลือกตั้ง : อายุ 18 ปีขึ้นไป
ประมุข ของประเทศ : นาย George Walker Bush เป็นประธานาธิบดี คนที่ 43 และหัวหน้ารัฐบาล เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2544 สังกัดพรรครีพับริกัน และมีนาย Richard B. Cheney เป็นรองประธานาธิบดี

โครงสร้างทางการเมือง
สหรัฐฯ มีพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ พรรครีพับลิกัน (Republican) และพรรคเดโมเเครต (Democrat)
การ ปกครองแบบสหพันธรัฐ แบ่งแยกอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แต่ละฝ่ายได้รับเลือกในลักษณะที่แตกต่างกัน และมีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน (checks and balances) ดังนี้
ฝ่ายบริหาร : มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ได้รับเลือกจากการเลือกตั้งทั่วไป ร่วมกับรองประธานาธิบดีทุก 4 ปี ในวันอังคารแรกของเดือนพฤศจิกายน ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านคณะผู้เลือกตั้ง ( Electoral College ) จำนวน 538 คน ดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 สมัย สมัยละ 4 ปี ประธานาธิบดีจะเป็นผู้ร่างรัฐบัญญัติต่อรัฐสภา และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ทำสนธิสัญญาต่างๆ ตลอดจนแต่งตั้งผู้พิพากษา เอกอัครราชทูตและตำแหน่งต่างๆของฝ่ายบริหารตั้งแต่ระดับรองผู้ช่วยรัฐมนตรี (Deputy Assistant Secretary) ขึ้นไป
ฝ่ายนิติบัญญัติ : ประกอบด้วย 2 สภา คือ
วุฒิสภา มี สมาชิกจากแต่ละมลรัฐ มลรัฐละ 2 คน รวมเป็น 100 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 6 ปี โดยสมาชิกจำนวน 1 ใน 3 ครบวาระทุก 2 ปี วุฒิสภามีอำนาจให้ความเห็นชอบหรือปฎิเสธบุคคลที่ประธานาธิบดีแต่งตั้ง รวมทั้งคณะรัฐมนตรี และให้สัตยาบันสนธิสัญญา รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง (President of the Senate) คือนาย Richard B. Cheney หัวหน้าฝ่ายเสียงข้างมาก (Majority Leader)ในวุฒิสภา ได้แก่ นาย Bill First (R-Tennessee) หัวหน้าฝ่ายเสียงข้างน้อย (Minority Leader) ได้แก่ นาย Thomas A. Daschle (D-South Dakota)
สภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิก 435 คน แบ่งตามสัดส่วนของประชากรในมลรัฐ คือ ประชากร 575,000 คน ต่อ สมาชิก 1 คน ดำรงตำแหน่งสมัยละ 2 ปี ประธานสภา (Speaker of the House) ได้แก่ นาย Dennis Hastert (R-Illinois) ผู้นำเสียงข้างมาก คือ นาย Tom DeLay (R-Texas) ส่วนผู้นำเสียงข้างน้อย คือ นาย Nancy Pelosi (D-California)

ฝ่ายตุลาการ : ประกอบด้วย ศาลชั้นต้น (Curcuit Court) ศาลอุทรณ์ (Appeal Court)และศาลฎีกา (Supreme Court) ศาลฏีกามีอำนาจที่จะล้มเลิกกฏหมายใดๆและการปฎิบัติการของฝ่ายบริหารที่ได้ วินิจฉัยแล้วว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งมีทั้งหมด 9 คนนั้น ประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอชื่อและวุฒิสภาเป็นผู้ให้การรับรอง และดำรงตำแหน่งได้โดยไม่มีการกำหนดวาระ
วันเลือกตั้ง :การเลือกตั้งครั้งล่าสุด 7 พฤศจิกายน 2543
การเลือกตั้งครั้งต่อไป 2 พฤศจิกายน 2547

สถานการณ์การเมือง
สหรัฐฯ จะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีขึ้นในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นทุก 4 ปี โดยก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี จะต้องมีการเลือกตั้งภายในพรรคเพื่อสรรหาตัวแทนพรรคที่จะลงชิงตำแหน่ง ประธานาธิบดีก่อน ทั้งนี้ ในส่วนของพรรครีพับลิกันนั้น นาย George W. Bush ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน จะเป็นผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง โดยไม่มีคู่แข่งภายในพรรค สำหรับพรรคเดโมแครต นาย John Kerry สมาชิกวุฒิสภา จากมลรัฐแมสซาซูเซตส์ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนมากที่สุด จึงได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

นโยบายของนาย Kerry
ใน การรณรงค์หาเสียงนาย Kerry เน้นนโยบายในเรื่องเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยพยายามกระตุ้นในเกิดการสร้างงาน มีนโยบายล้มเลิกนโยบายลดภาษีแก่คนรวยของประธานาธิบดี Bush เพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำและเพิ่มมูลค่าการลงทุนภายในประเทศของสหรัฐฯ ในระยะยาว รวมทั้งมีนโยบายควบคุมราคาน้ำมันที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น นโยบายลดค่าเล่าเรียนเพื่อให้ประชาชนมีเงินออมสูงขึ้น นโยบายปกป้องสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับงานด้านสาธารณสุขมากขึ้น ส่วนนโยบายต่างประเทศนั้น นาย Kerry พยายามเน้นว่าตนมีความเชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศ โดยมีประสบการณ์กว้างขวางเกี่ยวกับทวีปเอเชียจึงจะให้ความสนใจกับปัญหาใน เอเชีย เช่น ปัญหาประชาธิปไตยในพม่า ปัญหาสิทธิมนุษยชนในจีนและเวียดนาม เป็นต้น นาย Kerry ยึดมั่นในหลักการของระบอบประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน รวมทั้งเชื่อว่าการดำเนินนโยบายทางการทูตของสหรัฐฯ ในภาวะที่มีภัยจากการก่อการร้ายจะต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อย่างแท้จริง และเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้กับประเทศได้ ทั้งนี้
นาย Kerry ได้วิจารณ์ประธานาธิบดี Bush ว่าเป็นผู้นำประเทศเข้าสู่สงครามกับอิรักโดยไม่มีเหตุผลและหลักฐานที่ชัดเจน เกี่ยวกับข้อกล่าวอ้างที่ว่า อิรักมีอาวุธร้ายแรง (WMD) ในครอบครอง ซึ่งถือเป็นอันตรายต่อนานาประเทศ และไม่สามารถรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยในอิรักได้ นอกจากนี้ นาย Kerry ยังได้วิจารณ์รัฐบาลของประธานาธิบดี Bush ว่าได้ลดความสำคัญของปัญหาการก่อการร้ายในตะวันออกกลางลง

นโยบายของประธานาธิบดี Bush
ประธานาธิบดี Bush ออกมาตอบโต้นโยบายของนาย Kerry ว่าพยายามขึ้นภาษี พร้อมทั้งชี้ให้ชาวอเมริกันเห็นว่าต้องเลือกระหว่างการคงนโยบายลดภาษีเพื่อ ผลักดันเศรษฐกิจหรือจะให้มีการใช้นโยบายขึ้นภาษีตามแนวทางของพรรคเดโมแคร ตซึ่งจะเป็นภาระของประชาชน ต้องเลือกระหว่างการที่จะให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำโลกเพื่อให้เกิดความมั่นคงและความเข้มแข็ง หรือการเป็นประเทศที่อ่อนแออยู่ในสภาวะความหวาดกลัวจากภัยอันตราย และต้องเลือกระหว่างการคงไว้ซึ่งรัฐบาลที่สร้างโอกาสให้ประชาชนและมีความรับ ผิดชอบ หรือรัฐบาลที่ขูดรีดงบประมาณจากประชาชนตามอำเภอใจ
นอกจากนี้ ประธานาธิบดี Bush ยังคงรักษาไว้ซึ่งนโยบายต่อต้านการก่อการร้าย โดยหยิบยกเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 มาใช้ในการหาเสียงอีกด้วย

นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ
ลำดับความสำคัญของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ในปี 2547 ได้แก่
1. ปัญหาการก่อการร้าย สหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นลำดับแรก โดยเฉพาะการจัดการกับกลุ่มก่อการร้าย Al-Qaeda ที่ยังคงมีความอันตรายอยู่ เนื่องจากสมาชิกของกลุ่มดังกล่าวยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น การต่อต้านการก่อการร้ายจึงต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อระงับการติดต่อ สื่อสารระหว่างสมาชิกและการขจัดแหล่งเงินทุนของกลุ่มก่อการร้าย
2. ปัญหาอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (Weapons of Mass Destruction – WMD) สหรัฐฯ แสดง
ความ พอใจที่อิหร่านและลิเบียได้เริ่มให้ความร่วมมือในเรื่องดังกล่าว ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือ ซึ่งสหรัฐฯ ได้ผลักดันอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิดกับจีน ญี่ปุ่น รัสเซีย และเกาหลีใต้ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป
3. การส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอัฟกานิสถานและอิรัก รวมทั้ง
เน้น การส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศที่ประชาชนยังขาดสิทธิเสรีภาพ อาทิ ในตะวันออกกลาง อิหร่าน และ คิวบา และประเทศประชาธิปไตยที่เกิดใหม่ต่างๆ ในลาตินอเมริกา ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา ตามความตั้งใจของประธานาธิบดี Bush ที่จะส่งเสริมให้มีการปฏิรูประบบการเมือง เศรษฐกิจและการศึกษา ทั้งนี้ สหรัฐฯ ได้เล็งเห็นถึงบทบาทที่สำคัญขององค์การสหประชาชาติ และ NATO ในการช่วยเสริมสร้างสันติภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในประเทศต่างๆ เหล่านั้น
4. การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ เมื่อปี 2546 สหรัฐฯ ได้ลงนามความตกลงการค้าเสรีกับหลายประเทศ อาทิ ชิลี สิงคโปร์ และประเทศต่างๆ ในอเมริกากลาง และในปีนี้ ประธานาธิบดี Bush ได้เพิ่มจำนวนประเทศที่จะเริ่มเจรจาความตกลงการค้าเสรีทั้งในระดับภูมิภาค และทวิภาคี โดยมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ประเทศในตะวันออกกลาง
5. การแก้ไขปัญหาในภูมิภาคอื่นๆ สหรัฐฯ เล็งเห็นว่าเสรีภาพ สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาไปด้วยกันเสมอ ดังนั้น สหรัฐฯ จึงพยายามช่วยแก้ปัญหาการเมืองภายในประเทศต่างๆ อาทิ ซูดาน ไลบีเรีย และไอร์แลนด์เหนือ เพื่อสร้างสันติภาพในประเทศเหล่านั้น เพื่อนำไปสู่การพัฒนาด้านอื่นๆ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการผลักดันกระบวนการเจรจาเพื่อสันติภาพในตะวันออกกลาง

เศรษฐกิจการค้า
ระบบเศรษฐกิจ :ทุนนิยม ( Capitalism ) เป็นระบบเศรษฐกิจที่ให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินธุรกิจโดยที่รัฐจะเข้าแทรกแซงใน กิจการของเอกชนน้อย และสนับสนุนให้มีการแข่งขันกันอย่างเสรีทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) :10,987.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2546)
(พ.ศ.2546)
อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ: ร้อยละ 3.1
อัตราการว่างงาน : ร้อยละ 5.6 (กุมภาพันธ์ 2547)
อุตสาหกรรม : สหรัฐฯ เป็นผู้นำทางภาคอุตสาหกรรมของโลก มีความหลากหลายสูงและมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาก เช่น ปิโตรเลียม เครื่องยนต์เครื่องบิน อุปกรณ์การสื่อสาร เคมีภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ การแปรรูปอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค ป่าไม้ เหมืองแร่
ดุลการค้า : มูลค่า – 535,652 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2546)
การส่งออก : มูลค่า 723,743 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้า ส่งออก : ชิ้นส่วนอุตสาหกรรมและวัตถุดิบ เครื่องบินและส่วนประกอบ รถยนต์และส่วนประกอบ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ เครื่องมือทางการแพทย์ ถั่วเหลือง
ประเทศคู่ค้าในการส่งออก : แคนาดา 169,481 ล้านดอลลาร์สหรัฐเม็กซิโก 97,457 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ญี่ปุ่น 52,064 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สหราชอาณาจักร 33,895 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เยอรมนี 28,848 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การนำเข้า: มูลค่า 1,259,396 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้านำเข้า : รถยนต์ รถบรรทุกและส่วนประกอบ น้ำมันดิบ คอมพิวเตอร์ เครื่องรับ
วิทยุและโทรทัศน์ ปิโตเลียมเหลวและก๊าซธรรมชาติ เพชร เฟอร์นิเจอร์
ประเทศคู่ค้าในการนำเข้า :แคนาดา 224,166 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จีน 152,379 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เม็กซิโก 138,073 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ญี่ปุ่น 118,029 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เยอรมนี 68,047 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปีงบประมาณ : 1 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน

ภาวะเศรษฐกิจทั่วไปของสหรัฐฯ
สำนัก วิเคราะห์เศรษฐกิจ (Bureau of Economic Analysis) กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศตัวเลขGDP ของปี 2546 มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อยละ 3.1
ปัจจัย ที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2545 ซึ่งมีอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจเพียงร้อยละ 2.2 คือ การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ขยายตัวร้อยละ 6.4 ในช่วงไตรมาสที่ 3 การลงทุนสุทธิของภาคเอกชนภายในประเทศขยายตัวร้อยละ 4.2 จากที่ในปี 2545 ติดลบร้อยละ 1.2 และการส่งออกขยายตัวร้อยละ 2.0 ซึ่งเป็นการขยายตัวครั้งแรกหลังจากที่ติดลบมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2545 โดยการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ 1.9 และการส่งออกบริการขยายตัวร้อยละ 2.3 อัตราการว่างงานลดลงเหลือร้อยละ 5.6 จากที่เคยสูงสุดที่ร้อยละ 6.4 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 1 เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินสกุล หลัก

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา
1. ความสัมพันธ์ทั่วไป
1.1 ด้านการทูต
ไทย และสหรัฐฯ สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 2376 ปัจจุบันไทยเปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน และมีสถานกงสุลใหญ่ 3 แห่ง คือ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครชิคาโก และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ได้เปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทพฯ และสถานกงสุลใหญ่ประจำจังหวัดเชียงใหม่

1.2 ด้านการเมือง
ความ สัมพันธ์โดยทั่วไประหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา รวมทั้งความสัมพันธ์ทางการทหารและความมั่นคงรวมทั้งดำเนินไปด้วยความราบรื่น โดยเมื่อปี 2546 ประเทศไทยได้ตอบสนองความต้องการของสหรัฐฯ ในการส่งทหารไทยไปร่วมให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่อิรักจำนวน 443 คน และสหรัฐฯ ได้ประกาศให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มพันธมิตรหลักนอกกลุ่มนาโต (Major Non NATA Alliance – MNNA) ของสหรัฐฯ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้กองทัพไทยสามารถจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์และเข้าถึง เทคโนโลยีทางการทหารต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ได้
อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับกรณีวิสามัญฆาตกรรม สืบเนื่องจากนโยบายการ
ปราบ ปรามยาเสพติดของไทย โดยสหรัฐฯ ต้องการให้ทางการไทยสอบสวนหาผู้กระทำผิด แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยแจ้งว่าจับกุมผู้ต้องสงสัยได้กว่า 50 ราย และอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการของศาล แต่ฝ่ายสหรัฐฯ คงติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ได้เร่งรัดให้ไทยลงนามเป็นภาคีในอนุสัญญาและพิธีสารของสหประชาชาติที่เกี่ยว ข้องกับการปราบปรามการก่อการร้ายระหว่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบัน ไทยได้ลงนามแล้ว 5 ฉบับ ยังคงเหลืออีก 7 ฉบับที่อยู่ระหว่างการพิจารณา และสหรัฐฯ ต้องการให้ไทยแก้ไขกฎหมายการปราบปรามการฟอกเงินเพื่อให้ครอบคลุมถึงการก่อ การร้าย ซึ่งไทยได้ดำเนินการในเรื่องนี้แล้ว

1.3 ด้านการค้า
การ ค้าระหว่างสหรัฐฯกับไทยในปี 2546 มีมูลค่ารวม 20,715.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการค้ารวม 19,656.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.39 และในปี 2546 ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า คิดเป็นมูลค่า 6,520.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐฯ
มูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2546 คิดเป็นมูลค่า 13,618.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.80 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545
สินค้า ที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ กุ้งสดแช่เย็น แช่แข็ง อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์ และยางพารา
ส่วนสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป และแผงวงจรไฟฟ้า

การนำเข้าจากสหรัฐฯ มาไทย
ใน ปี 2546 ไทยนำเข้าจากสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 7,097.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.46 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545 ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 6,147.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าที่ไทยนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์
การวัด การตรวจสอบ และการถ่ายรูป เมล็ดน้ำมันพืช เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่ง ทองคำ และเส้นใยใช้ในการทอ สินค้าที่ไทยนำเข้าลดลง ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า

1.4 ด้านการลงทุน
จาก สถิติเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิที่จัดเก็บโดยธนาคารแห่งประเทศไทย มูลค่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในปี 2546 มีจำนวนทั้งสิ้น 63,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งมีมูลค่าทั้งสิ้น 44,929 ล้านบาท โดยมูลค่าเงินลงทุนสุทธิจากสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น –7,391 ล้านบาท สืบเนื่องมาจากปีที่ผ่านมาซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ – 10,131 ล้านบาท
จาก สถิติการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โครงการลงทุนจากสหรัฐฯ ที่ได้รับการอนุมัติในปี 2546 มีจำนวนทั้งสิ้น 40 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนสุทธิ 24.57 พันล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับสาม รองจากญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป


2. ความตกลงสำคัญๆ กับไทย
1.บันทึกความตั้งใจตามโครงการติดตั้งศูนย์ข้อมูลบุคคล (PISCES) ลงนามเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2547
2.Trade and Investment Framework Agreement ลงนามเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2545
3.กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ลงนามเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2544
4.ความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันฝึกอบรมระหว่างประเทศว่าด้วยการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ลงนามเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2541
5.ความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศ ลงนามเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2539
6.อนุสัญญา เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรในส่วนที่ เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ลงนามเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2539
7.สนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางอาญา ลงนามเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2529
8.ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ลงนามเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2527
9.สนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ลงนามเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2526
10.สนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา ลงนามเมื่อวันที่
29 ตุลาคม 2525
11.ความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางอากาศ ลงนามเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2522
12.ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ ลงนามเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2520
13.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ลงนามเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2514
14.สนธิสัญญาทางไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยและสหรัฐฯ ลงนามเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2509
15.ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและทางเทคนิค ลงนามเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2493
16.สนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์และการเดินเรือ ลงนามเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2480
17.หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี การค้า และพิกัด (ค.ศ. 1856) ลงนามเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2399
18.หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี ค.ศ. 1833 ลงนามเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2376


ประชากร
ประชากรในประเทศอเมริกา มาจากหลายๆประเทศทั่วโลก โดยที่ แผ่นดินดั้งเดิมนั้น เป็นของคนอินเดียแดง ผู้อพยพรุ่นแรกๆ เป็นคนจากประเทศอังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ เพราะต้องการที่จะ แสวงหาโอกาสที่จะร่ำรวย เสรีภาพทางการเมืองและศาสนา ส่วนพวกคนดำหรือว่านิโกรถูกนำมาจาก ทวีปแอฟริกาในฐานะทาส

จนกระทั่งปี ค.ศ. 1863 ในสมัยประธานาธิบดีลินคอล์น ได้มีการประกาศใช้ Emancipation Proclamation ซึ่งเป็นการปรับสถานะของคนดำ ให้ทัดเทียม คนขาว เมืองที่มีคนดำอยู่อาศัยมากที่สุดคือ New York ในส่วนของชาว Hispanic หรือพวกเชื้อสายสเปน มีอยู่ประมาณ 8.3 % ของจำนวนประชากรทั้งหมด ทุก ๆ ปี สหรัฐอเมริกาจะทำการสำรวจสำมะโนครัวประชากรและการอุตสาหกรรม เสียครั้งหนึ่ง เมื่อมีการสำรวจกันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2333 ประชากรมีน้อยกว่า 4 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่กัน แถบฝั่งตะวันออกของประเทศแต่ในปัจจุบันมีประชากรถึง 232.6 ล้าน


ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา ชาวอเมริกัน อพยพไปฝั่งตะวันตกและ ภาคใต้ของประเทศ ขณะนี้มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ทางฝั่งแปซิฟิก มีประชากรมากที่สุด และมลรัฐนิวยอร์ค ทางฝั่ง แอตแลนติกเป็นอันดับสอง นครนิวยอร์คเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของอเมริกา ลอสแองแจลิส ในรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นนครใหญ่อันดับสอง ชิคาโกรัฐอิลลินอยส์เป็นที่สาม ฮิวส์ตันรัฐเท็กซัส เป็นที่สี่ ฟิลลาเดลเฟีย เป็นที่ห้า นครหลวงของประเทศคือ กรุงวอชิงตันดีซีเป็นเมือง ที่มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 19 ส่วนในมลรัฐฮาวาย ชนเชื้อสายญี่ปุ่นมีมากกว่าหนึ่งใน สามของประชากรทั้งหมด

ภูมิประเทศ

สหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยภูมิประเทศหลายแบบ และ มีภูมิอากาศ เกือบทุกประเภท เนื่องจาก มีบริเวณอาณาเขต กว้างใหญ่ไพศาล ส่วนกว้างของแผ่นดินใหญ่จาก ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตะวันออกไป จนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันตก นับเป็นระยะทาง 4,500 กิโลเมตร ทิศเหนือจดประเทศแคนนาดา ทิศใต้จดประเทศแม็กซิโก และ อ่าวแม็กซิโก รถไฟด่วน 96 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง จะแล่นข้ามทั้งประเทศได้ก็ต้อง ใช้เวลา มากกว่า 45 ชั่วโมง หรือใช้เวลา ประมาณ 5 ชั่วโมง โดยเครื่องบินไอพ่น

อเมริกาประกอบไปด้วย 50 รัฐ และ Washington D.C. มีเนิ้อที่ประมาณ 3,787,319 ไมล์ ( เทียบได้กับขนาด 18 เท่าของขนาดพื้นที่ประเทศไทย) มีบริเวณรัฐที่ติดต่อกันรวม 48 รัฐ และรัฐ Alaska ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศแคนาดา และรัฐฮาวายซึ่งอยู่ใน มหาสุมทรแปซิฟิก และเมื่อรวมเอารัฐอลาสก้า และ ฮาวายเข้าด้วยกัน สหรัฐอเมริกา จะมีพื้นที่มากกว่า 9 ล้าน ตารางกิโลเมตร อลาสก้าเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในจำนวน 50 รัฐ รองลงมาคือ เท็กซัส ซึ่งอยู่ทาง ภาคใต้ของประเทศ เฉพาะ เท็กซัสรัฐเดียวก็ใหญ่ กว่าฝรั่งเศสทั้งประเทศแล้ว ส่วน อลาสก้านั้น ใหญ่กว่า เท็กซัสถึง 2 เท่า อย่างไรก็ตาม เราควรมาทำความเข้าใจ การใช้คำศัพท์เฉพาะ บางคำ ที่ชาวอเมริกันใช้ ในการเรียก ชื่อส่วนต่างๆ ของประเทศของเขาเสียก่อน ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. New England คือ ส่วนที่ประกอบไปด้วยรัฐ Maine, New Hampshire, Vermont, Massachusetts, Rhode Island และ Connecticut

2.The Northeast คือ ส่วนที่อยู่ทางตะวันออกตอนเหนือของประเทศ ประกอบไป ด้วยรัฐต่างๆ ใน New England ผนวกกับรัฐ New Jersey, Pennsylvania, บางส่วนของรัฐ Delaware, Maryland และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี (Washington D.C.)

3. The Deep South หรือ ภาคใต้ตอนใน คือ ส่วนที่ประกอบไปด้วย Georgia, Alabama, Mississippi และบางครั้งอาจรวมถึงรัฐ Louisiana, South Carolina และตอนเหนือของรัฐ Florida ด้วย

4. The South หรือส่วนที่อยู่ทางตอนใต้ของ ประเทศอเมริกาทั้งหมด ประกอบไปด้วย ส่วนของ Deep South ผนวกเข้ากับรัฐ North Carolina, Virginia, Texas และมักจะหมายรวมถึงรัฐ Arkansas, Kentucky, Tennessee และ Florida เข้าไปด้วย หรืออาจรวมรัฐ Missouri, West virginis และ Oklahoma

5. The Midwest คือส่วนที่อยู่ทาง ตะวันตกตอนกลางของประเทศ ประกอบไปด้วยรัฐ Indiana, Illinois, Iowa และมักจะหมายรวมถึงรัฐ Michigan, Ohio,Minnesota, Wisconsin ด้วย บางครั้งอาจรวมถึงรัฐ Missouri, Kansas และ Nebraska

6. The Plains States คือ ส่วนที่เป็นพื้นที่ราบ รวมถึงรัฐ North Dakota, South Dakota, Nebraska, Kansas และอาจรวมถึงรัฐอีก 5 รัฐ คือ Iowa, Colorado, Oklahoma, Montana และ Wyoming

7. The Rockies หรือบางทีเรียกว่า Mountian West คือ ส่วนที่อยู่ในแถบเชิงเขา ตะวันตก ซึ่งมีเทือกเขา Rockie เชื่อมผ่าน อันได้แก่รัฐ Montana, Wyoming, Colorado, Idaho, และ Utah

8. The Southwest คือ ส่วนที่อยู่ทางตะวันตกตอนใต้ของประเทศ ได้แก่รัฐ Arizona, New Maxico และอาจหมายรวมถึง Nevada, Utah,Texas และทางตอนใต้ของ California ด้วย

9. The West คือ ส่วนที่อยู่ทางตะวันตกของประเทศ ได้แก่รัฐ Montana, Wyoming, ColoradoIdaho, Idaho, Arizona และอาจหมายรวมถึงรัฐ California, Oregon และ Washington ด้วย

10. The Northwest คือ ส่วนที่อยู่ทางตะวันตกตอนเหนือของประเทศ ได้แก่รัฐ Oregon, Washington และอาจรวมถึงรัฐ Idaho กับส่วนตอนเหนือของรัฐ California ด้วย

11. The West Coast หรือ Far West คือ ส่วนที่เป็นชายฝั่งด้านตะวันตกของประเทศ อันได้แก่รัฐ California, Oregon และ Washington


ภูมิอากาศ

ประเทศ อเมริกามีทั้งบรรยายกาศแถบขั้วโลกซึ่งหนาวติดลบ 40 องศา จนถึงบรรยายกาศ ที่ร้อนเหมือนทะเลทราย 45 องศา โดยทั่วไปแล้ว สำหรับแถบตอนกลางของประเทศ อากาศในฤดูร้อน และฤดูหนาว จะต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยมีอากาศหนาวที่สุด ช่วงเดือน มกราคม และร้อนที่สุด ช่วงเดือนกรกฎาคม ส่วนแถบตะวันออก อากาศในฤดูร้อน กับฤดูหนาว จะต่างกันอย่างชัดเจน แต่ไม่มากเท่ากับแถบตอนกลาง ส่วนแนวชายฝั่งทะเล ด้านตะวันตก อากาศในฤดูหนาว และฤดูร้อน จะเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย และแถบตะวนตก อากาศใน ฤดูหนาว จะไม่เย็นจัดนักคล้ายกับฤดูใบไม้ผลิ แต่ในฤดูร้อน อากาศอาจสูงเท่ากับ แถบ เส้นศูนย์สูตร

All About United Kingdom

ประเทศอังกฤษ


ภูมิประเทศ สหราชอาณาจักรอังกฤษ เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในทวีปยุโรป และเป็นอีกประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักศึกษาต่างชาติในการไปศึกษาต่อ เนื่องมาจากภูมิประเทศที่สวยงาม มีความเจริญทางด้านวัฒนธรรม อุตสาหกรรม ความมีคุณภาพของการศึกษา และการเป็นศูนย์รวมแหล่งวัฒนธรรม
คำว่า สหราชอาณาจักร หรือ United Kingdom หมายถึง เกาะใหญ่ - Great Britain และแคว้นไอร์แลนด์เหนือ - Northern Island โดย Great Britain หมายถึงเกาะใหญ่ซึ่งรวมถึงอาณาเขตของ อังกฤษ - England, เวลส์ - Wales และสก๊อตแลนด์ - Scotland ดังนั้น คำว่าสหราชอาณาจักร จึงหมายถึงประเทศที่รวมอาณาเขตของ 4 ประเทศเข้าด้วยกันคือ
1. ประเทศอังกฤษ: เมืองหลวงคือเมือง London และใช้ภาษาอังกฤษ
2. ประเทศเวลส์ : เมืองหลวงคือเมือง Cardiff และใช้ภาษาอังกฤษ เวลส์
3. ประเทศสก๊อตแลนด์ : เมืองหลวงคือเมือง Edinburgh และใช้ภาษาอังกฤษ กาลิค
4. ประเทศไอร์แลนด์เหนือ : เมืองหลวงคือเมือง Belfast และใช้ภาษาอังกฤษ ไอริช สหราชอาณาจักรมีเนื้อที่โดยรวมประมาณ 244,046 ตารางกิโลเมตร



ประชากร ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรมีประชากรรวมทั้งสิ้นประมาณ 64 ล้านคน ประชากรทั้งประเทศพูดภาษาอังกฤษแต่ก็มีสำเนียงที่แตกต่างกันไป ซึ่งผู้ฟังสามารถรู้ได้โดยทันที ว่ามาจากส่วนไหนของประเทศ

ภูมิอากาศและฤดูกาล สภาพภูมิอากาศโดยทั่วไปของสหราชอาณาจักร จัดอยู่ในประเภทค่อนข้างหนาวและมีความชื้นสูง เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศเป็นเกาะ มีกระแสน้ำอุ่นและน้ำเย็นไหลผ่าน โดยทางตอนเหนือจะหนาวมากกว่าทางตอนใต้ และจะมีฝนตกทางภาคตะวันตกมากกว่าทางภาคตะวันออก อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดในช่วงฤดูหนาวคือ 2-4 องศาเซลเซียส และสูงสุดในช่วงฤดูร้อนคือ 18-22 องศาเซลเซียส
ประเทศสหราชอาณาจักรมี ฤดูกาลทั้งหมด 4 ฤดูคือ
ฤดูใบไม้ผลิ : เดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ฤดูร้อน : เดือนมิถุนายน-สิงหาคม
ฤดูใบไม้ร่วง : เดือนกันยายน-พฤศจิกายน
ฤดูหนาว : เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์


เวลา ประเทศอังกฤษเป็นที่ตั้งของเส้นแบ่งเขตเวลาของโลก (GMT - Greenwich Mean Time) ดังนั้นประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันออก จึงมีเวลาที่เร็วกว่า โดยเร็วกว่าประมาณ 6 ชั่วโมง (ในช่วงปลายเดือนมีนาคม - ปลายเดือนตุลาคม) หรือ 7 ชั่วโมง (ในช่วงปลายเดือนตุลาคม - ปลายเดือนมีนาคม)

การปกครอง ระบบการปกครองของสหราชอาณาจักรคือระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีควีนอลิซาเบธที่ 2 เป็นประมุขของประเทศ และมีนาย โทนี่ แบร์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
รัฐสภาของอังกฤษ แบ่งเป็น 2 สภา คือ สภาขุนนาง (House of Lords) และสภาล่าง (House of Commons) การแต่งตั้งรัฐบาลอยู่ในความรับผิดชอบของสภาล่าง และสำหรับสภาสูงมีหน้าที่สำคัญในการกลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบระบบการเมือง


เมืองที่สำคัญ เมืองขนาดใหญ่และเป็นเมืองที่มีความสำคัญของสหราชอาณาจักร คือ
LONDON
OXFORD
BRIGHTON
BOURNEMOUNT
MANCHESTER
LIVERPOOL

FRIENDS BLOG 30

Krachaow_Doraemo...



FRIENDS BLOG 29

coverzy

FRIENDS BLOG 28

sarawut007


FRIENDS BLOG 27

tukjja



FRIENDS BLOG 26

jambiotech

FRIENDS BLOG 25

ความสงจำสีจาง

FRIENDS BLOG 24

ployniiz

FRIENDS BLOG 23

anupon


FRIENDS BLOG 22

neno

FRIENDS BLOG 21

นารูโตะ

FRIENDS BLOG 20

cake


FRIENDS BLOG 19

momokojung


FRIENDS BLOG 18

N"wasna

FRIENDS BLOG 17

moo_moo


FRIENDS BLOG 16

AC


FRIENDS BLOG 15

TAEW_B.Econ



FRIENDS BLOG 14

toommin

FRIENDS BLOG 13

aommiza



FRIENDS BLOG 12

namfon16


FRIENDS BLOG 11

PooM



วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

FRIENDS BLOG 5

bonnytum
URL : http://bonnytum.blogspot.com/

FRIENDS BLOG 4

jhaTThinan
URL :http://keenok.blogspot.com/

FRIENDS BLOG 3

รุ้งริ้ง
URL : http://rungringnu1045.blogspot.com/


FRIENDS BLOG 2

GuLhaZenG
URL : http://gulhazeng-chutchai.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2552

My Calender

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2552

My Favorites Music



Delete it now!

My Favorites Music Videos







I love you guy, because you're the best!!

งานชิ้นที่ 2


1.1 เว็บไซต์บอกเวลาโลกคือ http://school.obec.go.th/bannongtapan/time.html
1.2 Map ของสถานที่สำคัญ http://maps.google.com/maps?hl=th&q=Taj+Mahal&ie=UTF8&ll=27.175219,78.041832&spn=0.002248,0.005472&t=h&z=18
1.3 เว็บไซต์ที่บอกอุณหภูมิโลกคือ http://thai.wunderground.com/

All About Me

Delete it now!!